วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

‘ความเหลื่อมล้ำ’ ทำเหตุ “เด็ก” เสี่ยงตายยอดพุ่ง 4 จังหวัดทั่วประเทศในรอบ 10 ปี

‘ความเหลื่อมล้ำ’ ทำเหตุ “เด็ก” เสี่ยงตายยอดพุ่ง 4 จังหวัดทั่วประเทศในรอบ 10 ปี
-----------------------
โปรย : เปิดสถานการณ์ 4 จังหวัดอันตรายเด็กเสี่ยงตายมากที่สุด เหตุการขยายตัวของชุมชนแออัด เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วเกินไป มีผลต่อการตายของเด็ก โดยกาญจนบุรี มีรายได้ความมั่นคงสูงสุดจากการติดตามรายงานการตายจากใบมรณบัตรตั้งแต่ปี 2546-ปัจจุบัน
-----------------------
ช่องว่างระหว่างความร่ำรวยกับความยากจนกลายเป็นปัญหาที่ประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย หรือแม้แต่อินเดียและจีน เกิดวิกฤติทำให้แม่และเด็กถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง และทำให้วัยรุ่นต้องใช้ชีวิตอยู่ในความเสี่ยง การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจะต้องปรับปรุงการดูแลสุขภาพ ภาวะโภชนาการ การศึกษา ความเท่าเทียมทางเพศ และการคุ้มครองสิทธิให้แก่เด็ก จากการที่เด็กๆกว่าครึ่งหนึ่งของทั่วโลกอาศัยอยู่ในเอเชีย-แปซิฟิก การเพิ่มการบริการด้านสาธารณสุขไปยังกลุ่มคนยากจนจึงเป็นกุญแจสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมาย ต่อการลดจำนวนเด็กที่เสียชีวิตก่อนอายุครบ 5 ปี ลง 2 ใน 3 จากจำนวนเด็กที่เสียชีวิตเมื่อปี 1990
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับแผนงานความปลอดภัยในเด็ก จัดเสวนา “ทศวรรษความปลอดภัยในเด็ก เพื่อบรรลุนโยบายโลกสร้างพื้นที่เหมาะสมแก่เด็กเยาวชน” พร้อมเปิดสถานการณ์ “4 จังหวัดอันตราย” เด็ก “เสี่ยงตาย” มากที่สุด ซึ่งสถานการณ์ 4 จังหวัดอันตรายคือ กาญจนบุรี สระบุรี ลพบุรี และระยอง เนื่องจากการขยายตัวของชุมชนแออัด เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วเกินไป มีผลต่อการตายของเด็ก ในขณะที่ จ.กาญจนบุรี มีรายได้ความมั่นคงสูงสุด (จำนวน 995,733 บาท) คิดเป็น 3.2 เท่าของกทม. (311,225 บาท) ขณะที่สระบุรี ลพบุรี และระยอง ติดอันดับที่ 10, 23 และ 31 ตามลำดับจากการติดตามรายงานการตายจากใบมรณบัตรตั้งแต่ปี 2546-ปัจจุบัน
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้จัดการแผนงานความปลอดภัยในเด็ก สสส. เล่าว่า จากการสำรวจอัตราการบาดเจ็บในเด็ก 3 กลุ่มอายุ ได้แก่ อายุ 1-4 ปี 5-9 ปี และ 10-14 ปีในรอบ 10 ปี พบว่า มี 25 จังหวัดที่มีอัตราการตายในเด็กสูงขึ้นต่อเนื่องโดยที่ 4 จังหวัด มีอัตราการตายของเด็กสูงสุด ลักษณะการเสียชีวิตจมน้ำตายมากที่สุด มีฐานะยากจน ผลวิเคราะห์ข้อมูลการตายของเด็กในพื้นที่กทม.123 รายพบว่า ในปี 2550-2551 คิดเป็นร้อยละ 62.29 และปี 2552-2553 คิดเป็นร้อยละ 75.80 ลักษณะบ้านพักอาศัยของเด็กที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ ไม่มีบ้านพักอาศัยในที่ดินของตัวเอง อยู่ในเขตชุมชนแออัด สลัมในเมือง และปริมณฑล พบว่ากลุ่มที่อยู่ในเมืองจะแอบปลูกที่พักอาศัยริมคลองสาธารณะ ที่รถไฟ ทำให้กลุ่มเด็กเล็กจะเสียชีวิตจากการจมน้ำจากแหล่งน้ำรอบบ้านพักอาศัย ส่วนเด็กโตจะเสียชีวิตจากการชักชวนกันไปเล่นน้ำ และมักจะมาจากครอบครัวที่หย่าร้างร้อยละ 44 และยังพบว่า แม้จะมีการนำชุดความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในเด็กไปให้ ครอบครัวเหล่านี้ก็ไม่มีศักยภาพปฏิบัติตามได้
“การขยายตัวของชุมชนแออัดที่เกิดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วจนเกินไป มีผลต่อการตายของเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในชุมชนแออัดเสี่ยงตายสูงสุด หากไม่แก้ปัญหา ชุมชนจะเริ่มมีสภาพ “ความเป็นเมือง” ที่ไร้คุณภาพ ก่อให้เกิด “คนจนเมือง” เหมือนคนกรุงเทพฯสมัยก่อน ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการตายสูงสุด เช่น จมน้ำ ถูกรถชน และอุบัติเหตุอื่นๆ” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าวและว่า สิทธิความปลอดภัยของเด็กถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้ โดยสหประชาชาติ กำหนดให้เด็กเยาวชนเติบโตอย่างมีคุณภาพภายในปี 2559 (A World Fit For Children) โดยมีเป้าหมายว่า ต้องลดอัตราการตายของเด็ก ซึ่งหากประมวลจากการตายของเด็ก 10 ปีที่ผ่านมา คาดว่าการบรรลุข้อตกลงนี้คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากยังไม่มีการออกมาตรการที่เหมาะสม เช่น มาตรการออกกฎหมายการสวมหมวกกันน็อกสำหรับเด็ก ที่ควรต้องปรับใช้ให้เหมาะสมกับอายุ เช่น เด็กโตต้องสวมหมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐานทุกครั้ง แต่ขณะที่เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบยังไม่มีหมวกกันน็อกที่ขนาดเหมาะสม ก็อาจนำไปสู่มาตรการห้ามนั่งจักรยานยนตร์
ด้าน สุกัญญา เวชศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเด็ก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า เกณฑ์สิทธิความปลอดภัยขั้นต่ำของเด็กนั้น จำเป็นต้องมีปัจจัย 3 ประการคือ 1.มาตรการเฝ้าระวังเตือนภัยในเด็กที่มีประสิทธิภาพ 2.พัฒนาและสร้างองค์ความรู้ ส่งเสริมการวิจัย และสถิติความเสี่ยงที่ชัดเจน และ 3.สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย จึงจะนำไปสู่การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาโลกที่ดี และต้องสร้างความเข้าใจชุมชนเป็นอันดับแรก บางพื้นที่มีการใช้ “วัด” เปิดเป็นศูนย์เด็กเล็ก เพื่อแก้ปัญหาร่วมกันในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรัฐพึงกำหนดและประกาศเกณฑ์สิทธิความปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นเกณฑ์ความปลอดภัยขั้นต่ำสุดที่รัฐและองค์กรกรท้องถิ่นต้องประกันการเข้าถึงเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเสมอภาคของเด็กทุกคน โดยไม่ยินยอมให้เด็กผู้ใดต้องตกอยู่ในสภาพที่มีความปลอดภัยต่ำกว่าเกณฑ์นี้ และต้องจัดให้มีการรายงานพื้นที่ (จังหวัดและตำบล) ที่มีการละเมิดเกณฑ์สิทธิความปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับเด็กอันส่งผลให้เด็กเสียชีวิตจากการบาดเจ็บรุนแรง
ขณะที่ คมสัน จันทร์อ่อน ตัวแทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค ระบุว่าการเกิดเป็นชุมชนแออัด จนกลายเป็นสลัมทำให้เกิดความเสี่ยงในการตายสูง การให้ความรู้ทั้งแก่ผู้ปกครอง และตัวเด็กในเรื่องมาตรการป้องกันความปลอดภัย และการเพิ่มปริมาณศูนย์เด็กเล็กเพื่อดูแลเด็กก่อนวัยเรียนจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน โดยปัจจุบันเครือข่ายสลัมได้ตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อแก้ปัญหาให้คนจนที่เข้ามาอาศัยในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันก็ใช้เป็นวิธีตรวจสอบแหล่งที่อยู่ของผู้ปกครองและเด็กให้ชัดเจน ซึ่งจะสะดวกต่อการจัดสรรพื้นที่พักพิง และศูนย์เด็กเล็กในอนาคต เชื่อว่าจะสามารถช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุให้กับเด็กได้ หากไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งก็จะเกิดผลกระทบทำให้ไม่สามารถเข้าบริการของฝ่ายรัฐ ทางเครือข่ายสลัมได้เสนอให้รัฐจัดทำโครงการบ้านมั่นคงเพื่อจัดที่อยู่อาศัยเป็นชุมชน มีศูนย์ดูแลเด็กเพื่อไม่ต้องไปเล่นนอกชุมชน เด็กที่เกิดมาก็ไม่กลายเป็นเด็กเร่ร่อนที่กระจายไปตามอัตภาพทำให้เกิดสลัมขึ้นมาเรื่อย ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาทางการ และหากรัฐดำเนินการตามข้อเรียกร้องได้ก็จะมีความปลอดภัยในเด็กดีขึ้น ประเด็นสำคัญ คือ ชุมชนต่างๆ ต้องผนึกกำลังความร่วมมือในการแก้ปัญหาด้วยกันอย่างเป็นระบบ
เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเด็กเยาวชนอย่างแท้จริง!!
//////////////////////////////

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น