วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นำร่อง 7 จังหวัดแบนแร่ใยหิน หลังสคบ.ประกาศสินค้าอันตราย

---------------------
โปรย : ชวน 76 จ.เดินหน้าตรวจสอบการจัดทำฉลากสินค้าที่มีส่วนประกอบแร่ใยหินของผู้ประกอบธุรกิจ และรายงานผลการดำเนินงานให้ สคบ.ทราบ หลังประกาศสินค้าอันตราย
---------------------
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)จัดการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการควบคุมสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน และมาตรการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมทั้งลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการควบคุมแร่ใยหิน โดยมีเหตุผล 10 ประการที่ต้องจัดการอันตรายจากแร่ใยหินแอสเบสตอส คือ
‎ 1. แอสเบสตอสเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ที่ยอมรับกันทั่วไป 2.ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเป็นสองประเทศอุตสาหกรรมสุดท้ายที่ไม่มีการห้ามใช้แอสเบสตอส ในขณะที่มากกว่าห้าสิบประเทศได้มีการสั่งห้ามใช้แอสเบสตอสแล้ว เมื่อเดือนมกราคม 2010 3. องค์การอนามัยโลก ระบุว่ามีประชากรทั่วโลกประมาณ 125 ล้านคนที่ได้รับสัมผัสแร่ใยหินจากการทำงาน 4. ในแต่ละปี ชาวอเมริกันมากกว่า 1 หมื่นคนตายเนื่องจากการได้สัมผัสแร่ใยหิน และจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และคาดประมาณได้ว่าในศตวรรษหน้า การสัมผัสแร่ใยหินจะคร่าชีวิตเฉพาะชาวอเมริกันได้สูงถึง 1 แสนคน 5. เมื่ออยู่ในสภาพอานุภาคขนาดเล็ก(ต่ำกว่า10ไมครอนซึ่งสามารถก่อโรคได้) อานุภาคขนาดเล็กของแร่ใยหิน สามารถล่องลอยไปไกลห่างจากแหล่งกำเนิดได้เป็นหลายร้อยไมล์ 6. การได้รับสัมผัสแร่ใยหินโดยการหายใจ(อานุภาคขนาดเล็ก) หรือการกลืนกินเข้าไป(จากการปนเปื้อนในอาหาร) จะก่อให้เกิดพยาธิสภาพแบบถาวร(รักษาไม่ได้)กับอวัยวะที่สำคัญ แร่ใยหินก่อให้เกิดโรคปอดจากแร่ใยหิน (ชื่อเฉพาะAsbestosis) มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ และมะเร็งที่มีการลุกลามรุนแรง (ชื่อเฉพาะ Mesothelioma) ผู้ป่วยจะมีอายุต่อไปได้ราว 6-12 เดือน
7. แร่ใยหินยังคงเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค การทดสอบโดยองค์การให้ความรู้เกี่ยวกับแร่ใยหิน (ADAO) พบว่า ยังมีผลิตภัณฑ์ 5 ชนิดที่ยังมีการปนเปื้อนของแร่ใยหิน ในจำนวนนี้มีผลิตภัณฑ์ของเล่นเด็กรวมอยู่ด้วย 8. แร่ใยหินมีระยะเวลาการดำเนินโรคนานมาก กล่าวคือ หลังจากที่ได้รับ/สัมผัสสารกว่าจะพัฒนาจนเกิดโรคได้ ใช้เวลานานถึง 50 ปีหรือมากกว่านั้น และการตรวจวินิจฉัยก็ยากลำบาก เนื่องจากมีโรคจากเหตุอื่นหลายโรคที่มีอาการและแนวทางการวินิจฉัยคล้ายๆกัน(โรคที่อาการคล้ายคลึงกัน) โรคจากแร่ใยหินรักษายาก (เนื่องจากพยาธิสภาพที่เสียหายของอวัยวะที่สำคัญไม่สามารถรักษาให้กลับเป็นปกติได้) ผู้ป่วยส่วนใหญ่รักษาไม่หายและส่วนใหญ่จะเสียชีวิต 9. องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และองค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (EPA) และรักษาการประธานกลุ่มศัลยแพทย์ทั่วไปของสหรัฐอเมริกา ประกาศว่าการได้รับ/สัมผัสแร่ใยหินไม่มีระดับใดที่จัดได้ว่าปลอดภัย 10. แร่ไยหินได้มีการผลิตและนำมาใช้อย่างกว้างขวางในผลิตภัณฑ์ วัสดุ และการประยุกต์ใช้ต่างๆ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็รวมถึง การก่อสร้าง วัสดุฉนวนความร้อน ในท่าจอดเรือ และอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมาก
รศ.ดร.ภก.วิทยา กุลสมบูรณ์ แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ สสส. บอกว่า การควบคุมแร่ใยหินที่เป็นสินค้าควบคุมฉลาก ถือเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนและนำไปปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม โดยจะประสานเครือข่ายภาคประชาชนทั้ง 76 จังหวัดให้ตรวจสอบการจัดทำฉลากสินค้าของผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินของผู้ประกอบธุรกิจ และรายงานให้ สคบ.ทราบ เพื่อให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยมี 7 จังหวัดได้นำร่องเดินหน้าตรวจสอบจัดการอันตรายจากแร่ใยหินและมีการให้ความรู้กับประชาชนในพื้นที่ แม้ร้านค้าหลายพื้นที่จะมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างไม่พอใจว่ารัฐบาลยังไม่มีการให้ข้อมูลว่าวัสดุที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินจะนำมาสู่การเสียชีวิตและเกิดโรคปอดอักเสบ จึงต้องเร่งให้ความรู้
ซึ่ง จังหวัดศรีษะเกษ ได้มีการศึกษาแร่ใยหินโดยมีการจัดการสัมมนาเพื่อบอกถึงอันตรายจากแร่ใยหินขึ้นมา 3 ครั้ง ซึ่งการจัดครั้งแรกเป็นการให้ความรู้และหาผู้นำในการแนะนำบอกต่ออันตรายของแร่ใยหิน และมีการพบเครือข่ายรุ่นที่ 2 รับร่างมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติดำเนินการรณรงค์ป้องกันยกเลิกนำเข้าผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน ครั้งที่ 3 ปี 2553 ได้จัดกิจกรรมคณะละครหุ่นมือศรีมงคล ในการสื่อถึงการเผยแร่อันตรายแร่ใยหิน มีกลไกระดับชุมชน ตำบล ประชุมค้นหานวัตกรรมรูปแบบการคุ้มครองผู้บริโภค จัดโครงการ กิจกรรม การสื่อสาร เนื่องจากประชาชนยังไม่รู้ถึงอันตรายของแร่ใยหินและยังไม่รู้ว่าแร่ใยหินนี้คืออะไรจากการที่นำเสนอละครหุ่นมือ ประชาชนได้รับรู้ถึงอันตรายแร่ใยหินและมีความตระหนักในการป้องกันมากขึ้น
ส่วนจังหวัดสุรินทร์ได้มีการขับเคลื่อนโดยการให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชนพร้อมจัดทำโปสเตอร์แจกในโรงเรียน การจัดรายการวิทยุ มีการให้ความรู้เรื่องแร่ใยหินแก่ประชาชนผ่านสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย และมีการสำรวจร้านค้าวัสดุก่อสร้างจำนวน 16ร้านค้า มีจำนวน 4 ร้านค้าไม่มีแร่ใยหิน แต่มีถึง 9 ร้านค้ามีแร่ใยหิน ส่วนอีก 3 ร้านค้ามีการปะปนกันซึ่งมีและไม่มีแร่ใยหิน จึงได้มีการให้ความรู้ประชาชนตระหนักถึงอันตราย และจากการสำรวจการรื้อถอนอาคารพบว่ามีผู้ป่วยจากการสัมผัสฝุ่นละอองมากขึ้นสาเหตุไม่อยากใส่หน้ากาก และถุงมือ ในขณะที่จังหวัดมหาสารคามได้มีการสำรวจแนวโน้มการขาย และผู้สัมผัสแร่ใยหินจนพบผู้ป่วยเสียชีวิตจากการผลิตเครื่องกรองน้ำไฟเบอร์ที่มีส่วนผสมของแอสเบสตอส พร้อมทั้งมีการสำรวจช่างซ่อมมอเตอร์ไซด์ ที่ใช้เครื่องเป่าฝุ่นเกิดการหายใจติดขัด ตรวจพบว่าฝุ่นเกาะในปอดมากเกินไป เกิดปอดแห้ง
ส่วนจังหวัดอุบลราชธานี และ จังหวัดนครราชสีมา มีการเชิญชวนนักเรียนเข้าร่วมรณรงค์ พร้อมทั้งมีการจัดอบรมให้ความรู้กับแกนนำนักเรียน5โรงเรียน โดยมีการให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยการทำ อย.น้อยในโรงเรียน และมีการออกแบบกิจกรรมชุมชน มีอาสาสมัครหมู่บ้าน (อสม.) ร่วมรณรงค์ด้วย และมีการจัดตั้งชมรม 17 ชมรม เพื่อจัดทำแผนรณรงค์ และมีการนำเสนอละครให้ความรู้เรื่องแร่ใยหิน มีการให้รับรู้ชีวิตการทำงานเพื่อเลี้ยงครอบครัว แต่ได้รับผลกระทบด้วยการเจ็บป่วยจากแร่ใยหิน ทางจังหวัดจึงพร้อมจะยกเลิกนำเข้า
ด้านจังหวัดเชียงราย มีการคุ้มครองผู้บริโภคแร่ใยหิน และจัดเวทีอบรมให้ความรู้สร้างความเข้าใจถึงอันตราย สอดแทรกเนื้อหาบอกถึงพิษ มีการลงพื้นที่สร้างความเข้าใจ จากผลการดำเนินงานพบว่าผู้บริโภคเกิดความเข้าใจและตระหนักสิทธิ มีการป้องกันจากการสัมผัส และสุดท้ายจังหวัดตรังมีการจัดประชุมชี้แจงให้ความรู้รายละเอียดใน 10 อำเภอจำนวน 100 คน มีหน่วยงานราชการ มีผู้รับผิดชอบงานในระดับอำเภอ และความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการ แต่ต้องประสบปัญหาผู้ประกอบการไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เนื่องจากมีความเข้าใจว่าระดับประเทศยังไม่มีการขับเคลื่อน แต่สุดท้ายก็เข้าใจจึงให้ความร่วมมือ พร้อมที่จะยกเลิกนำเข้า
ผู้บริโภคมีความเข้มแข็ง ฉลาดซื้อ ฉลาดใช้ ทุกคนร่วมมือร่วมใจ ปกป้องสิทธิของตนการกระทำดังกล่าว จะกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของผู้บริโภค!!!!!
/////////////////////////

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สร้างจิตสำนึกคนไทยรู้พิษสงอาหารมัน-หวาน อย่าตามเทรนด์เลี้ยงลูกแบบเทิดทูน แก้ปัญหาอ้วนลงพุง

----------------------
โปรย : มาตรการพิชิตอ้วน พิชิตพุง 1.ปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหาร 2.เคลื่อนไหวออกแรงและออกกำลังกาย 3.ควบคุมอารมณ์และความรู้สึก
-----------------------
“ความอ้วน” นอกจากทำให้สวยน้อยลงแล้ว ยังเป็นสาเหตุของสารพัดโรค ยิ่งอ้วนก็ยิ่งมีโรคได้หลายอย่างมากขึ้น ที่ผ่านมาเรารู้จักแต่คำว่า ดัชนีมวลกายซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าอ้วน แต่ในระยะหลังพบว่าความเสี่ยงต่อโรคมีมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีลักษณะอ้วนลงพุง คือ จะมีสะโพกเล็ก ไหล่กว้าง และลงพุง ซึ่งเป็นลักษณะอ้วนที่อันตรายที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่าคนอ้วนสองคน ที่มีน้ำหนักตัวมากเท่ากัน คนอ้วนที่ลงพุงมากจะเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะหัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน ซึ่งรุนแรงถึงขั้นทำให้เป็นอัมพาต หรือเสียชีวิตได้มากกว่าคนอ้วนชนิดไม่ลงพุงเป็นเท่าทวี และยังจะต้องแบกรับความทุกข์อื่นอีก เช่น ข้อกระดูกเสื่อม การหายใจไม่อิ่ม ทำให้ง่วงซึม หายใจไม่เต็มปอด มากกว่าคนอ้วนที่สะโพกใหญ่ “อ้วนลงพุง”เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมในบริเวณช่องท้องมากกว่าปกติ ในขณะเดียวกันก็สะสมในอวัยวะที่สำคัญ และอันตรายได้ง่ายด้วย
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายคนไทยไร้พุง จัดเสวนา Focus Group ข้อเสนอเชิงนโยบาย: การแก้ปัญหาโรคอ้วน / อ้วนลงพุงในบริบทประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาเพื่อพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการแก้ปัญหาอ้วนลงพุงในประเทศไทย ในชุดโครงการจัดการความรู้และสร้างนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนเครือข่ายคนไทยไร้พุง เพื่อช่วยลดและแก้ปัญหาโรคอ้วนลงพุง ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ ทั้ง โรคความดันสูง โรคเบาหวาน ที่ควรเสนอกฎหมายสื่อที่เสริมสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรม ผู้คุมนโยบายทุกระดับควรมีนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมและชัดเจน เพราะอ้วนลงพุงกำลังเป็นเพชฌฆาตเงียบคร่าชีวิตคนทั่วโลกเสียชีวิตวันละหลายคน และนำไปสู่ความเจ็บป่วยและอัมพาต อัมพฤกษ์ อีกมากมาย
โดยสิ่งที่ผู้เข้าร่วมสนทนาต้องการเห็นและเกิดประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาโรคอ้วน คือ สื่อต้องลงในกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน เข้าใจง่ายและจริงใจ หลักสูตรการเรียนต้องเป็นการใช้องค์ความรู้กับสถานการณ์จริง มีการปรับเปลี่ยนที่มีระบบการประเมินและวิเคราะห์เป็นระยะ ส่งเสริมกิจกรรมในเด็กที่สอดคล้องกับวัย ผู้นำทางความคิด ทั้งนักการเมือง สื่อทุกรูปแบบเข้าถึงพฤติกรรมของคนแต่ละกลุ่ม มีการรณรงค์และให้ความรู้กับประชาชนทุกพื้นที่ ลดการโฆษณาอาหารขบเคี้ยวเพื่อดูแลสุขภาพ ให้ความรู้เบื้องต้น กลุ่มเป้าหมายเด็กต้องเริ่มตั้งแต่ปฐมวัย เกิดชมรมทุกภาคส่วนในการดูแลเด็ก พัฒนาศักยภาพให้องค์ความรู้หรือฝึกทักษะและแนวทาง การดำเนินงานต้องสอดคล้องกับบริบท หลักสูตรการเรียนต้องเอาสถานการณ์จริงสอดแทรกเข้าไปด้วย เข้มงวดเรื่องการจัดอาหารกลางวัน เช่น เด็กก่อนวัยเรียนลดนมขวด เด็กปฐมวัยต้องมีการจัดอาหารที่เหมาะสมกับวัย ออกกฎหมายควบคุมปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม ฉลากควรทำให้อ่านง่าย ต้องบังคับติดฉลากกฏหมายควบคุมน้ำตาลกำกับเครื่องดื่มและอาหาร ส่งเสริมกิจกรรมของเด็กที่สอดคล้องทำได้จริง โดยการใช้เครื่องมือทุกวิถีทาง ร้านอาหารทำป้ายปริมาณ และควรใช้คำพูดการสื่อสารคำเดียวกัน
ศ.พญ.วรรณี นิธิยานันท์ ประธานเครือข่ายคนไทยไร้พุง ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่มีข่าวออกมามากมายว่าคนไทยประสบปัญหาภาวะโรคอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นมหันตภัยเงียบที่เราคาดไม่ถึง และปฏิบัติการที่จะสามารถฝ่าวิกฤต พิชิตอ้วน พิชิตพุง คือ 1.ปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหาร 2.เคลื่อนไหวออกแรงและออกกำลังกาย3.ควบคุมอารมณ์และความรู้สึก
ด้าน พนอ อี้รักษา นักวิชาการศึกษา ชำนาญพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) บอกว่า ตามที่ได้จัดการเรื่องการบริโภคในโรงเรียนจะพบว่าการบริโภคของเด็กจะตามใจปาก เพราะครอบครัวดูแลเด็กแบบเทิดทูนคือการซื้ออาหารกักตุนไว้ให้เด็ก เช่น ไส้กรอก ขนมเค้ก ขนมหวาน หรือพวกอาหารขยะ ทำให้เด็กไม่ค่อยกินข้าวตามที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้ เพราะเคยชินกับอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ผู้ปกครองเตรียมไว้ให้หลังเลิกเรียน ขณะที่บางโรงเรียนยังมีร้านค้าและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เด็กหาสิ่งมาบริโภค เด็กก็จะเลือกแต่อาหารที่ตนเองเคยชิน ทำให้เสี่ยงต่อการบริโภคอาหารที่มันและหวาน ทำให้มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานและโรคกระดูก ฉะนั้นควรสร้างความร่วมมือระหว่างบ้าน ชุมชนและโรงเรียน มีการจัดสื่อและเผยแพร่ข้อมูลให้ถึงผู้บริโภค เพราะปัจจุบันประชาชนยังไม่ทราบถึงผลเสียโรคอ้วน ความตระหนักจึงยังไม่เกิด จึงไม่เชื่อว่าโรคอ้วนจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นได้ เพราะหากประชาชนไม่ทราบถึงผลเสียที่เกิดขึ้นปัญหาโรคอ้วนก็จะตามมา
ขณะที่ ฐิติรัตน์ พูนศิริชัยกิจ ผู้ดำเนินรายการ Healthy Time สถานีวิทยุ FM 99 อสมท.ระบุถึง ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาโรคอ้วนคือต้องเริ่มจากตัวเองและครอบครัวในการจัดการเรื่องการบริโภคอาหาร เพื่อนำไปสู่โรงเรียน เพราะเด็กต้องเริ่มเรียนรู้จากครอบครัว พ่อแม่ผู้ปกครองต้องสอนและเตรียมอาหารที่เหมาะต่อสุขภาพ อย่าตามใจเด็กและอย่ากลัวว่าเด็กจะหิว เพราะหากพ่อแม่ผู้ปกครองพยายามหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้และเด็กกินอิ่มก็จะไม่เกิดการหิวอาหารขยะ ซึ่งผู้ปกครองบางคนรู้แต่รู้ผิด และนักวิชาการอย่าเอาเรื่องของการตลาดเข้าไปจับ
ส่วน นพ.กฤช ลี่ทองอิน ผู้จัดการกองทุนพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิและกองทุนพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทย บอกว่าควรมีการออกนโยบายอย่างชัดเจนในการแก้ปัญหาโรคอ้วน เพราะสามารถเปลี่ยนแนวคิดของประชาชนได้และช่วยแก้ปัญหาอย่างตรงจุดเชื่อว่าแนวโน้มการอ้วนลดลง และหากผู้นำท้องถิ่นเข้าใจเรื่องนี้ก็สามารถเข้าถึงประชาชนได้ง่าย พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นถึงการแก้ปัญหาโรคอ้วนของต่างประเทศที่มีการให้ความรู้และข้อมูลกับประชาชน แต่บ้านเราไม่ค่อยมีสื่อที่ให้ข้อมูลกับประชาชนจึงเกิดเรื่องของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ หากเราสามารถจัดการได้ก็จะเกิดประสิทธิภาพ เช่นเรื่องการออกกำลังกาย และสิ่งแวดล้อมทางสังคม สื่อวิทยุโทรทัศน์ก็เป็นเรื่องสำคัญ ควรมีการโฆษณาให้รู้ถึงพิษของอาหารหวาน ประโยชน์ของการออกกำลังกาย และสถานพยาบาลยังขาดทักษะในการพูดคุยกับผู้ป่วย เช่นให้ไปปรับเรื่องการกินอาหาร เรื่องการออกกำลังกาย แต่ไม่บอกลึกถึงรายละเอียด
แม้โรคอ้วนเป็นเรื่องของพฤติกรรมและบุคคล แต่เราสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยความตระหนักถึง 3 อ. คือ อาหาร อารมณ์ และออกกำลังกาย...
//////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตลาดนัดสีเขียว…ตลาดที่เปิดโอกาสให้ ‘ขอบคุณ’ ชีวิต แบบ ‘กรีนดี้’ ’

โปรย : เน้นธรรมชาติบำบัดดูแลสุขภาพร่างกาย แนะเปลี่ยนวิถีบริโภค เพื่อโลก เพื่อเรา ชวนบริโภคผักปลอดสารพิษชีวิตยืนยาว
----------------------
ศิลปการเยียวยาร่างกายและจิตใจ เพื่อสมดุลของชีวิต ด้วยธรรมชาติบำบัด เป็นคู่มือที่นำมาใช้ได้ทันที ตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน พักผ่อน สิ่งแวดล้อม อันเป็นองค์ความรู้ใหม่ ที่ให้ร่างกายรักษาตัวเองได้ตามธรรมชาติ
เมื่อเร็วๆนี้ โรงพยาบาลต้นแบบที่โรงพยาบาลกรุงธน 1 ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงได้จัดงานเปิดโครงการ “ตลาดนัดสีเขียว” แห่งที่ 5 เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี ให้ประชาชนทุกเพศทุกวัย รวมถึงพนักงานในองค์กร ตระหนักถึงความสำคัญในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ปลูกและผลิตขึ้น โดยไร้สารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อมของประเทศ
เพียงพร ลาภคล้อยมา วิทยากรอิสระธรรมชาติกับการเยียวยา ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรดูแลบำบัดร่างกายง่ายๆด้วยแนวทางธรรมชาติว่า ธรรมชาติบำบัดคือการใช้ธรรมชาติที่อยู่รอบตัวดูแลตัวเอง เธอยกตัวอย่างง่ายๆให้เข้าใจว่า
“เวลาตื่นนอนอย่ารีบลุกให้นอนนิ่งๆเพื่อชิมความสงบในตอนเช้า ให้โอกาสกับลมหายใจ สูดลมหายใจเข้าลึกๆสู่ปอด แล้วพลิกตัวไปมาเพื่อเป็นการปรับเลือดในร่างกาย จากนั้นค่อยๆจิบน้ำให้มีความรู้สึกตัว อมไว้ในกระพุ้งแก้มซ้ายย้ายไปขวาเพราะน้ำต้องการการย่อยสลายเช่นกัน” เพียรพอกล่าว
และเสริมว่า การบ้วนปากก่อนแปรงฟันให้บ้วนปาก 1 ครั้ง อมน้ำมันมะพร้าวไว้ในปาก 20 วินาที เพื่อเอาของเสียออกจากตัว จากนั้นให้ใช้ใบมะม่วง หรือใบฝรั่ง ที่จะช่วยลดกลิ่นปาก มาถูฟันแล้วอมทิ้งไว้สักครู่ จะทำให้เราอยู่กับฟันด้วยความขอบคุณ เช่นเดียวกับกานพลูที่ช่วยลดอาการปวดฟันได้
นอกจากนี้ เพียงพร ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงยาสีฟันในท้องตลาด เพราะมีสารก่อมะเร็ง จึงแนะนำให้ใช้วัสดุจากธรรมชาติ ส่วนการล้างหน้าให้ใช้ถั่วเขียวปั่นละเอียดร่อนด้วยผ้าขาวบางให้ได้ผงละเอียดควรเลือกที่ปลอดสารพิษเอามาลูบใบหน้าแตะไปให้ทั่วแล้วถูขึ้นวนเป็นก้นหอย คางและหน้าผากให้ถูเป็นเส้นขนาน จมูกใช้ถูขึ้นจะสามารถขจัดสิวเสี้ยนได้ดี เพราะเปลือกถั่วเขียวมีความคงทนสามารถผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก สำหรับการอาบน้ำให้มีความสุขก็ใช้ถั่วเขียวป่นเช่นกัน เหมาะกับทุกฤดูกาล โดยเฉพาะหน้าหนาวเพราะจะทิ้งความรื่นไว้ที่ผิว นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยลดเชื้อราในร่มผ้า
สำหรับอาหารเช้าควรกินผักผลไม้ ที่สดและใหม่ ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ ต้องสด 100% เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด เมื่ออยู่ในสภาพธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการเสพความสุข จากอาหารเช้าที่เป็นมื้อสำคัญ
“หากทำได้ ควรกินก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เพราะเป็นช่วงที่กระเพาะอาหารทำงานได้ดี ถ้ากินได้ทุกวันกระเพาะอาหารจะแข็งแรง ที่สำคัญคือหน้าไม่แก่เร็วด้วย ส่วนใครที่ทานผักผลไม้ปั่นจะช่วยย่อยสลายได้ง่ายเพียง 15 นาที จะทำให้สมองปลอดโปร่ง เพราะช่วงเวลาการตัดสินใจอยู่ที่ประมาณ 9 – 10 โมงเช้า โดยในแต่ละมื้อต้องไม่กินอาหารจำเจ เพราะใน 1 ฤดูมีอาหารที่เหมาะกับร่างกาย ฉะนั้นควรกินให้หลากหลาย เลือกที่ปลอดสารพิษ ส่วนข้าวขอแนะนำให้หุงข้าวผสมลูกเดือยเพราะลูกเดือยช่วยดูแลไต” เพียรพรกล่าวทิ้งท้าย
เพียงเริ่มจากการคิด “ขอบคุณ” ชีวิต ด้วย “ตัวเอง” โรคภัยก็โบกมือบ๊ายบาย!!!
////////////////////////////////

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มาตรการปิดรั้ว…ฉิก ฉิก: ชวน ‘โรงเรียน’ หนีภัย ‘อ้วน’ ห้ามขายขนมหวานให้วัยโจ๋

โปรย : ประเทศเวียดนามมีการออกกฎหมายห้ามนำผลิตภัณฑ์ต่างๆเข้ามาขายในโรงเรียน ประเทศบรูไนห้ามขายน้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบในโรงเรียน
-------------------
ทุกวันนี้คนไทยบริโภคน้ำตาลเกินความจำเป็นของร่างกาย ตามสถิติพบว่า คนไทยกินน้ำตาลเฉลี่ยวันละ 16 ช้อนชา ในขณะที่ค่าเฉลี่ยการกินหวานของคนทั่วโลกเฉลี่ยวันละ 11 ช้อนชา ทั้งๆที่ปริมาณน้ำตาลระดับพอดีต่อร่างกายเฉลี่ยวันละ 6 ช้อนชา เมื่อเปรียบเทียบปริมาณการบริโภคน้ำตาลของคนไทยกับค่าเฉลี่ยคนทั่วโลกจะเห็นว่า คนไทยเป็นนักกินหวานที่สุดระดับหนึ่ง ซึ่งเด็กไทยจำนวนมากในปัจจุบันได้รับน้ำตาลจากการกินขนม นมหวาน นมเปรี้ยว และน้ำอัดลมมากเกินควร ส่งผลให้เด็กไทยเป็นโรคอ้วนมากขึ้นทุกวัน ซึ่งจะมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน ฟันผุ หากไม่รีบดำเนินการแก้ไขรับรองอนาคตของชาติประสบปัญหาทางสุขภาพอย่างแน่นอน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ แผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน จัดประชุมโครงการ “รวมพลคนอ่อนหวานบูรณาการและสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อเด็กไทยสุขภาพดี” โดยมีการให้ความรู้ในการควบคุมการส่งเสริมการขายในสถานศึกษา (Food Marketing in School) เพื่อเสนอแนะเชิงนโยบาย ในเรื่องการจำหน่ายขนมและเครื่องดื่มในโรงเรียนเพื่อสุขภาพ มีการประเมินวิธีการที่เป็นไปได้และเหมาะสมกับโรงเรียน เพื่อนำข้อเสนอแนะเข้าสู่การทำแผนฯ ของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 หลังพบโรงเรียนยังมีการเปิดพื้นที่ให้มีการนำขนม น้ำอัดลมเข้าไปขายในโรงเรียน
ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ผู้จัดการแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน สสส. กล่าวว่า ผลการสำรวจเรื่องการตลาดอาหารในโรงเรียน พ.ศ. 2552 พบว่าเด็กคือเป้าหมายใหม่ทางการตลาดสินค้าเฉพาะกลุ่ม และโรงเรียนเป็นสถาบันทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อชีวิตและสังคมของเด็ก ที่จะถ่ายทอดอุดมการณ์ มีการกล่อมเกลาทางสังคม เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเด็กที่อยู่ในโรงเรียน ด้วยการสร้างแรงดึงดูดในการขายสินค้า ซึ่งนำไปสู่การตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย ด้วยการอาศัยช่องว่างเมื่ออาหารมีไม่เพียงพอ เนื่องจากขาดงบประมาณสนับสนุนจากรัฐ จึงทำให้เกิดรูปแบบทางการตลาดในโรงเรียนขึ้น 4 ด้าน คือ 1.การขายผลิตภัณฑ์โดยตรง เช่น สิทธิในการเติม 2.การโฆษณาผลิตภัณฑ์โดยตรง เช่น ป้ายโฆษณาและโลโก้ตามที่ต่างๆ แจกตัวอย่างสินค้า สิ่งพิมพ์ของโรงเรียน สื่อในโรงเรียน 3.การโฆษณาผลิตภัณฑ์ทางอ้อม การให้นักเรียนใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทผ่านกิจกรรมในโรงเรียน 4.การทำวิจัยผลิตภัณฑ์ สำรวจทางการตลาดและให้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ ฉะนั้นจึงอยากเชิญชวนครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง รณรงค์ห้ามให้ขายขนมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลกับเด็กเพื่อสุขภาพที่ดี
ด้าน ชาติชาย มุกสง นักวิชาการอิสระ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า มาตรการต่างประเทศเรื่องการตลาดอาหารสำหรับเด็กในโรงเรียน 1.การประกาศใช้มาตรการและกฎเกณฑ์ทั่วไปสำหรับทั้งสังคม กฎหมายบังคับ การขอความร่วมมือ 2.การส่งเสริมให้รู้เท่าทันสื่อ 3.การจัดการสิ่งแวดล้อมด้านอาหารที่ดีต่อสุขภาพขึ้นในโรงเรียน โรงอาหาร ร้านค้า ตู้ขายต้องเป็นอาหารสุขภาพ 4.การสร้างสุขลักษณะนิสัยให้เกิดขึ้นในโรงเรียน การกิน การออกกำลังกาย 5.สร้างกลไกการจัดการอาหารในโรงเรียนแบบใหม่ จากไร่สู่โรงเรียน ซึ่งการออกมาตรการเหล่านี้ในต่างประเทศพบว่าประเทศเวียดนามมีการออกกฎหมายห้ามนำผลิตภัณฑ์ต่างๆเข้ามาขายในโรงเรียน ประเทศบรูไนห้ามขายน้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบในโรงเรียน ฉะนั้นประเทศไทยต้องมีหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบชัดเจนในภารกิจ ซึ่งน่าจะเป็นเครือข่าย มีการกำหนดนโยบายต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมืองและความต้องการของสังคม สอดคล้องกับศักยภาพและความพร้อมของแต่ละโรงเรียน สร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับมาตรการการจัดการอาหารในโรงเรียน ไม่จำเป็นต้องรอทำพร้อมกัน
ขณะที่ กุลพร สุขุมาลตระกูล นักวิชาการโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวว่า จากผลการศึกษาเรื่องการจำหน่ายเครื่องดื่มในโรงเรียน โดยการคัดเลือกโรงเรียนแบบเฉพาะเจาะจง ที่เป็นโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดจำหน่าย จำนวน 32 แห่ง สำรวจร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มภายในโรงเรียนทุกร้าน นำตัวอย่างเครื่องดื่มยอดนิยมของนักเรียนอย่างน้อยจำนวนโรงเรียนละ 4 ตัวอย่างรวม 128 ตัวอย่าง นำผู้ปรุงหรือผู้ผสมเครื่องดื่มจำหน่ายภายในโรงเรียน ทุกคน พบว่ามีการการใช้น้ำตาลผสมในเครื่องดื่มจำหน่ายจากผลวิเคราะห์ทั้ง 2 วิธี (การเจือจางมีหน่วยเป็นองศา(º)บริกซ์และห้องปฏิบัติการ) น้ำหวานเข็มข้นใส่น้ำแข็ง มีค่าเฉลี่ยสูงเป็น 2 เท่าของข้อแนะนำ หรือประมาณ 5 ช้อนชา ส่วนน้ำปั่น มีค่าเฉลี่ยประมาณ 10 ºบริกซ์หรือ 2.5 ช้อนชา ตามเกณฑ์กำหนดคือน้ำตาลไม่เกินร้อยละ 10
กุลพร ได้บอกเล่าถึงการศึกษาสถานการณ์การจำหน่ายน้ำอัดลมในโรงเรียนพื้นที่นำร่อง 19 จังหวัด ที่เข้าร่วมโครงการเด็กไทยไม่กินหวาน จากข้อมูลกองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า ร้อยละ 20 ของโรงเรียนประถมศึกษาจำหน่ายน้ำอัดลมและเด็กดื่มน้ำอัดลมเฉลี่ยวันละ 1 ครั้ง และสูงสุด 3 ครั้ง ปริมาณเฉลี่ย 200 มิลลิลิตร หรือเกือบ 1 กระป๋องทำให้ได้รับน้ำตาลเฉลี่ย 7.4 ช้อนชาต่อครั้ง เกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ วันละ 6 ช้อนชาโดยน้ำอัดลมชนิดน้ำดำ (เป๊ปซี่/โค้ก) เป็นน้ำอัดลมที่เด็กชอบดื่มมากที่สุดถึงร้อยละ 72 ซึ่งอาจจะส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ อาทิ ฟันผุ ภาวะโภชนาการเกิน นำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆเมื่ออายุมากขึ้น อย่างไรก็ตามเด็กเป็นอนาคตของชาติหากมีปัญหาด้านสุขภาพแล้วย่อมส่งผลต่อพลังในความคิด อ่าน หรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อชาติ
ปิดรั้วโรงเรียนห้ามนำขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม ขายให้เด็ก ตามมาตรการต่างประเทศ หลังพบไทยกินหวานมากที่สุด!!!
////////////////////////////////

สสส.ชวน ‘หักดิบความหวาน มาแอ๊บ…ไม่กินน้ำตาล 1 วัน’ ต้อนรับวันเบาหวานโลก

โปรย “ต้องนึกไว้เสมอว่า ใน 1 วัน ไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา และต้องพยายามทานผักผลไม้ให้ได้วันละ 3-5 กำมือ”
------------------------
เพราะ ‘น้ำตาล’ ไม่ใช่ธนาคาร จะได้ฝากชีวิตไว้ในอ้อมกอด
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเครือข่ายรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน จัดงาน “หักดิบความหวาน แอ๊บไม่กินน้ำตาล 1 วัน” เพื่อสร้างความตระหนักถึงอันตรายของโรคเบาหวาน ต้อนรับวันเบาหวานโลกซึ่งตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี โดยในงานมีการสาธิตตรวจวัดความหวานจากน้ำตาลที่พบในเครื่องดื่ม เจาะเลือดตรวจน้ำตาล และโชว์นิทรรศการความหวานในอาหาร น้ำอัดลม และขนมขบเคี้ยวที่เราบริโภคเข้าไปทุกวันอย่างไม่ระวัง
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มน้ำผลไม้ ที่มีปริมาณน้ำตาล 5-8 ช้อนชา/ขวด กลุ่มนมปรุงแต่งที่มีน้ำตาลประมาณ 3-5 ช้อนชา/กล่อง หรือกลุ่มขนมกรุบกรอบยอดฮิตก็มีน้ำตาลประมาณ 1 ช้อนชา/กล่อง/ซอง
“ฉะนั้นกต้องนึกไว้เสมอว่า ใน 1 วัน ไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา และต้องพยายามทานผักผลไม้ให้ได้วันละ 3-5 กำมือ” ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา ตู้จินดา กรรมการบริหารแผนสำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. แนะวิธีการง่ายๆ เพื่อลดภัย “โรคเบาหวาน” ที่ปัจจุบันคร่าชีวิตคนไทยร่วม 3.5 คน แถมช่วง 20 ปีให้หลัง เด็กเยาวชนกลับกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีอัตราเพิ่มขึ้นร่วม 10 เท่า เพราะวิถีการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการบริโภคที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
“โชคดีหน่อย ‘อาหาร’ บางชนิดระบุน้ำตาลที่ผสมเข้าไป แต่บางชนิดที่ทำขึ้นเองอย่าง ‘นมเย็น น้ำปั่น’ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าค่าน้ำตาลที่เราดื่มเข้าไปมีมากขนาดไหน อย่างกลุ่มเยลลี่มีน้ำตาลถึง 4-5 ช้อนชา ขนมขบเคี้ยวมี 1-2 ช้อนชา เพราะฉะนั้นต้องระวังการกินอยู่ เพราะนอกจากจะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานแล้ว ยังเกิดเป็นภาวะ “อ้วนลงพุง” ซึ่งเป็นเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โดยเอวที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 5 ซม.ก่อนจะเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวาน 3-5 เท่าอีกด้วย” ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา กล่าว
ขณะที่ ศ.พญ.วรรณี นิธิยานันท์ อุปนายกสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยและประธานเครือข่ายคนไทยไร้พุง สสส. กล่าวว่า หากนำคนไทยประมาณ 10 คนที่เป็นโรคร้ายแรงมาตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดมีถึง 3-4 คนเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ราว 3 ล้านคนต่อปี ตั้งแต่ปี 2003-2005 ทั่วโลกมีคนเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น 71% ซึ่งจำนวนนี้มีผู้ป่วยเด็กรวมอยู่ด้วย และคนที่เป็นไตวายที่อายุมากมีโรคเบาหวานรวมอยู่ด้วยเพราะคนอายุมากชอบความหวานเพราะจะทำให้รู้สึกมีแรงทำให้สดชื่นเมื่อได้กินของหวาน แต่หากน้ำตาลเป็นเหมือนธนาคารก็จะดี เราจะได้มีเงิน เพราะร่างกายมีการสะสมน้ำตาลมาก
ด้าน เมย์ แฟนพันธุ์แท้คนชอบกินหวาน เล่าว่า “เป็นคนกินหวานมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบกินอาหารและผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น ชอบกินน้ำตาลปี๊บเป็นของกินเล่น กินก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำตาล 4 ช้อน ฯ หลังอาหารระยะหลังรู้สึกว่าเมื่อเป็นสิวแล้วจะหายช้า ปัสสาวะบ่อย และสังเกตเห็นมดดำขึ้นปัสสาวะของตัวเอง หลังจากกินน้ำอ้อยไป 4 ขวดใหญ่ เลยไปถามจากเพื่อนที่มีญาติเป็นเบาหวาน ทำให้รู้ว่า ตนมีอาการคล้ายผู้ป่วยเบาหวานระยะเริ่มต้น จึงไปตรวจเลือด โชคดีที่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ตอนนี้พยายามลดการกินหวานลงโดยทดลอง ‘แอ๊บไม่กินน้ำตาล’ หนึ่งวันตามคำแนะนำของเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ทำให้รู้ว่าการที่ต้องเคร่งครัดกับการบริโภคน้ำตาลตลอดชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพอไม่ได้กินหวานแล้วจะรู้สึกหงุดหงิด และกินอะไรไม่ได้ ทำให้รู้สึกว่า เป็นเบาหวานแล้วมันไม่สนุก เลยพยายามลดละ ‘ความหวาน’ ให้น้อยลง”
สำหรับวิธีการตรวจเช็คให้แน่ใจว่าเป็นเบาหวานหรือไม่นั้น มีเพียงวิธีเดียวคือ การเจาะหาน้ำตาลในเลือด โดยคนปกติอายุเริ่มเข้าเลขสี่ควรจะเลือดตรวจทุกปี หรือทุก 3 ปี โดยคนปกติจะมีค่าน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่า 80-100 มิลลิกรัม% หากสูงกว่านั้นแต่ไม่เกิน 100-180 มิลลิกรัม% ถือว่าเข้ากลุ่มเสี่ยง และหากสูงมากกว่านั้น ก็ขอต้อนรับเข้าสู่โรคเบาหวานแน่นอน
สำหรับคนปกติ แม้หลังทานอาหารในแต่ละมื้อระดับน้ำตาลจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่จะลดลงเป็นปกติภายใน 2 ชั่วโมง ขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานจะลดระดับน้ำตาลได้ช้า และใช้เวลานานมากกว่า ส่วนข้อสังเกตเบื้องต้น สำหรับผู้ป่วยเป็นเบาหวาน โดยเฉพาะในเด็กนั้น จะปัสสาวะบ่อยและมาก กระหายน้ำ กินจุแต่ผอม และมีอาการอ่อนเพลียบ่อย ควรมีการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดบ่อยครั้ง เพื่อให้เขาสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติร่วมกับเด็กคนอื่นๆ
ทั้งนี้การตรวจเลือด เราสามารถตรวจหาได้หลายวิธี แต่วิธีที่แม่นยำที่สุดคือ การวัดระดับกลูโคสในพลาสม่าหลังการอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าสะดวกและแม่นยำ หากระดับน้ำตาลในเลือด สูงกว่า 126 มิลลิกรัม% (7.0 mmol/L) สองครั้ง ก็แสดงว่า “คุณเป็นสมาชิกใหม่ในสมาคมผู้ป่วยโรคเบาหวาน” แล้ว
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ลองหักดิบความหวาน แอ๊บ…ไม่กินน้ำตาล 1 วัน กันก่อนจะดีกว่าไหม ? เพื่อจะได้ปิดประตูตาย ห่างไกลโรคเบาหวาน
//////////////////////////

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อย.สั่งเพิกถอนRosiglitazone หลังพบไม่ปลอดภัย

อย.สั่งเพิกถอนRosiglitazoneจากบัญชียาหลักไทย พร้อมเรียกเก็บยาคืนจากท้องตลาดอย่างเร่งด่วน
ด้าน สสส.จับมือ กพย. ส่งสัญญาณเตือนภัยยา Rosiglitazone เสี่ยงไม่ปลอดภัย ชี้ 30 ประเทศทั่วโลกร่วมแบน

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุม ซัฟฟายร์ 2 ชั้น 3 โรงแรม ริชมอนด์ ถนนรัตนาธิเบศน์ นนทบุรีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จัดประชุมเรื่องความเสี่ยงในการใช้ยาของคนไทย: กรณีศึกษายาเบาหวานโรซิกกรีตาโซน (Rosiglitazone) หลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้แจ้งเตือนความเสี่ยงของการใช้ยา โรซิกกรีตาโซน และขอความร่วมมือให้สถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ให้ใช้ยาดังกล่าวเมื่อมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงเท่านั้น และผู้ป่วยที่กำลังใช้ยานี้อยู่ไม่ควรหยุดใช้ยาเอง ให้ขอคำแนะนำจากแพทย์ ซึ่งยาโรซิกกรีตาโซน เป็นยาใหม่อยู่ในกลุ่ม thiazolidinedione ได้รับอนุมัติข้อบ่งใช้รักษาเบาหวานชนิดที่ 2 นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยโดยบริษัท แกล็กโซสมิทไคล์น (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 ในรูปแบบยาเม็ดมีทั้งที่เป็นสูตรยาเดี่ยวและสูตรยาผสม ได้แก่ Rosiglitazone (Avandia®) Rosiglitazone+metformin (Avandamet®) และ Rosiglitazone+glimepiride (Avandaryl®)
ในขณะที่องค์การด้านยาแห่งยุโรป (European Medicines Agency - EMEA) เสนอให้ระงับการจำหน่ายยารักษาโรคเบาหวานที่มีโรซิกกรีตาโซนเป็นส่วนประกอบ ภายใต้ชื่อการค้าเช่น Avandia, Avandamet และ Avaglim ซึ่งยาเหล่านี้จะไม่มีการจำหน่ายในยุโรปภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้คณะกรรมาธิการด้านเวชภัณฑ์ที่ใช้ในมนุษย์แห่งยุโรป (Committee for Medicinal Products for Human use/CHMP) ได้เริ่มศึกษาทบทวนข้อมูลยาโรซิกกรีตาโซน ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. 2010 ในประเด็นเกี่ยวกับความปลอดภัยที่มีต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ และเมื่อเร็วๆ นี้ มีข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติมว่ายาโรซิกกรีตาโซนเพิ่มความเสี่ยงต่อระบบเหลอดเลือดหัวใจ และแนะนำให้ระงับการจำหน่ายในท้องตลาดทั้งนี้ ข้อแนะนำของคณะกรรมการได้ถูกส่งไปยังคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (the European Commission) เพื่อการรับรองและมีผลทางกฎหมายต่อไป
ภญ.วิมล สุวรรณเกศาวงษ์ หัวหน้าศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย. กล่าวว่า สืบเนื่องจากปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาหน่วยงานกำกับดูแลด้านยา (Drug Regulatory Authority) ของประเทศต่าง ๆ ได้กำหนดมาตรการจัดการความเสี่ยงของยาโรซิกรีตาโซน เพิ่มเติม ซึ่งแบ่งเป็น2 มาตรการใหญ่ ๆ ได้แก่ การระงับการจำหน่าย และการจำกัดการใช้ยาอย่างเข้มงวดสำหรับประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้มีการแจ้งเตือนบุคลากรทางการแพทย์ถึงความเสี่ยงของการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ โรซิกรีตาโซนแล้ว และขอความร่วมมือให้สถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ให้ใช้ยาดังกล่าวเมื่อมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงเท่านั้น ล่าสุดการประชุมคณะอนุกรรมการศึกษาและเฝ้าระวังอันตรายจากการใช้ยาครั้งที่ 4/2553 เมื่อวันที่ 29ตุลาคม 2553 ที่ประชุมมีมติเสนอคณะกรรมการยาให้เพิกถอนทะเบียนตำรับยาที่มีส่วนประกอบของโรซิกรีตาโซน เนื่องจากมีข้อมูลความเสี่ยงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ในสหภาพยุโรปซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเจ้าของผลิตภัณฑ์มีการระงับการจำหน่ายและให้ยานี้ออกจากท้องตลาด และมีตัวยาอื่นที่สามารถใช้ทดแทนได้และในช่วงระหว่างดำเนินการเสนอเพิกถอนทะเบียนตำรับยา ให้ขอความร่วมมือบริษัทผู้ผลิตและผู้นำเข้าฯ ในการระงับการจำหน่ายยาที่มีส่วนประกอบของโรซิกรีตาโซน และเรียกเก็บยาคืนจากท้องตลาดอย่างเร่งด่วน
ผศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า สำหรับมาตรการในต่างประเทศในการตั้งรับยาโรซิกกรีตาโซนนั้น ล่าสุดสำนักยาแห่งยุโรป และ องค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration/FDA) ซึ่งมีลักษณะการบริหารงานคล้าย อย. มีการเพิกถอนรายชื่อยาโรซิกกรีตาโซนไปแล้วจากตำหรับยา เช่นเดียวกับซูดาน อียิปต์ และอินเดีย รวมแล้วร่วม 30 ประเทศทั่วโลก เพราะมีผลวิจัยชี้ว่า เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคหัวใจ ขณะที่ประเทศไทย ยาโรซิกกรีตาโซนเคยอยู่ในบัญชี ง (ที่สั่งใช้ยาโดยผู้เชี่ยวชาญ) เมื่อปี 2547 แต่ได้ถูกถอดออกเมื่อปี 2550 ด้วยเพราะราคาที่สูง และความไม่ปลอดภัย แต่ก็ยังมีการนำเข้าอยู่ จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์การเบิกจ่ายยาแพง โดยเฉพาะกลุ่มราชการที่สามารถเบิกค่ายาได้เต็มที่ก็กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
“อยากให้ผู้ป่วยตระหนักรู้อยู่เสมอว่า การใช้ยาแพง ไม่ได้หมายความว่า ผู้ป่วยจะได้ยาดี และปลอดภัย หากไม่มีการตรวจสอบ โดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการที่สามารถเบิกค่ารักษาและจ่ายยาได้เต็มจำนวน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป” ผศ.ภญ.ดร.ยุพดี กล่าว
รศ.ภก.ดร.ณธร ชัยญาคุณาพฤกษ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยผลลัพธ์ทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวถึงการศึกษาวิจัยความคุ้มค่าของการใช้ยาไพโอกรีตาโซน (Pioglitazone) เทียบกับยาโรซิกกรีตาโซน (Rosiglitazone) ซึ่งในขณะที่ทำการศึกษาในปี 2004 นั้น แม้ยาไพโอกรีตาโซนจะมีราคาสูงกว่าโรซิกกรีตาโซน แต่มีข้อมูลระบุว่า สามารถลดระดับไขมันได้ดีกว่า ส่งผลให้เกิดความปลอดภัยต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดที่สูงกว่า แต่ล่าสุดในช่วงปี 2007-2009 มีการวิจัยหลายฉบับที่แสดงให้เห็นผลเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจจากการใช้ยาโรซิกกรีตาโซน เมื่อประกอบกับในท้องตลาดเริ่มมียาไพโอกรีตาโซนที่เป็นยาสามัญจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่ายาโรซิกรีตาโซนที่เป็นยาต้นฉบับ ฉะนั้นข้อมูลปัจจุบันจึงสนับสนุนว่ายาไพโอกรีตาโซน จัดเป็นยาทางเลือกที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ทั้งในแง่ความปลอดภัยและความคุ้มค่า
ภญ.วรสุดา ยูงทอง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถึงสาเหตุที่ยาโรซิกรีทาโซนถูกถอนออกจากบัญชียาหลัก และล่าสุดอ.ย.ประกาศเพิกถอนแล้วนั้น เพราะเมื่อเทียบกับ pioglitazone แล้วมีข้อด้อยกว่าเรื่อง (1)ไม่มี generic product คือ มีบรรจุในบัญชียาหลักทำให้ต้องนำเข้า ค่าใช้จ่ายสูง (2) ต้องรับประทานวันละ 2 ครั้ง (3) ข้อมูลประสิทธิภาพต่อ lipid profile ด้อยกว่า pioglitazone (4) ซึ่งมีหลักฐานชี้ชวนว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย มีอาการปวดน้ำ โดยเฉพาะผู้หญิงมีความเสี่ยงในการเกิดกระดูกแตกหักได้ง่าย
/////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หนุน พ.ร.บ.การออม สร้างหลักมั่นคงสู่วัยชรา

--------------------------
โปรย : ระบุ ร่างพ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ช่วยคนนอกระบบร่วม 1 ใน 3 ของคนทั้งประเทศ สร้างชีวิตมั่นคงด้วยการออม เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปอายุ 20-60 ปีที่ไม่อยู่ในระบบราชการจ่ายเงินสมทบกองทุน 100-1,000 บาทต่อเดือน โดยจะมีการจ่ายเป็นรายเดือนหลังอายุ 60 ปี ตั้งเป้าลบภาพวัยชราถูกทอดทิ้ง
-------------------------
หลังจากที่การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้รับหลักการในร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ...โดยมีมติรับหลักการด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ 338 ต่อ 0 เสียง ตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน 36 คน กำหนดการแปรญัตติ 7 วัน โดยวัตถุประสงค์ของร่างกฎหมาย เพื่อสร้างระบบการออม ให้กับผู้ที่อยู่นอกระบบบำนาญ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ไม่มีหลักประกันทางรายได้เหมือนกลุ่มข้าราชการ หรือลูกจ้างเอกชนที่เป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคมที่มีจำนวนอยู่ประมาณ 23.5 ล้านคน (ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรไทย 67.3 ล้านคน) โดยกองทุนการออมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานรัฐ ในลักษณะนิติบุคคล ทำหน้าที่ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และให้ดอกผลกับผู้ออมเมื่อครบกำหนด มุ่งเน้นให้ประชาชนมีหลักประกันทางสังคมเมื่อชราภาพ และมีรายได้ในการดำรงชีพในวัยชรา ขณะเดียวกันถือเป็นการสร้างวินัยการออมระดับครัวเรือน
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ คณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เครือข่ายบำนาญประชาชน จัดสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กับการสร้างระบบบำนาญพื้นฐานที่เป็นจริง” เพื่อช่วยสร้างหลักประกันทางการเงินในยามชรา ด้วยการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติ โดยหลักการเงินบำนาญประชาชนนั้น สามารถฝากเงินผ่านกองทุนโดยที่ประชาชนเป็นผู้ออมและรัฐบาลเป็นผู้สมทบ เมื่ออายุครบ 60 ปี จะได้เงินบำนาญ การจัดเงินสมทบ จัดแบ่งเป็น อายุต่ำกว่า 20 ปี รัฐไม่จ่ายสมทบ อายุ 20-30 ปี รัฐสมทบ 50 บาท/เดือน อายุ 30-50 ปี รัฐสมทบ 80 บาท/เดือน และ อายุ 50-60 ปี รัฐสมทบ 100 บาท/เดือน เมื่อสมทบจนอายุครบ 60 ปี รัฐจะจ่ายคืนเป็นบำนาญไปจนกระทั่งเสียชีวิต โดยกฎหมายฉบับนี้เปรียบได้กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของภาคเอกชน
ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. บอกถึงเป้าหมายของร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ว่า เพื่อปลูกจิตสำนึกให้ประชาชน เริ่มหันมาดูแลตัวเอง และสนใจกับอนาคตเมื่อเข้าวัยชรามากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมที่มีประชากรวัยชรา (ประมาณ 7.3 ล้านคน) เหมือนสังคมของประเทศสิงคโปร์ การมีกองทุนการการออมระหว่างที่ประชาชนยังมีกำลังทำงานถือเป็นเรื่องดี ทำให้เกิดเงินออมระยะยาวสำหรับตัวเอง โดยมีรัฐบาลสมทบเข้ามา เพื่อใช้เป็นบำนาญเมื่อพ้นวัยทำงาน เหมือนเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับอนาคตตัวเอง ด้วยตัวเอง เรียกว่า เป็นหลักประกันรายได้ให้ผู้สูงอายุมีชีวิตในอนาคตที่มั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่ง สสส.ได้ทำงานเรื่องนี้มา 2-3 ปี โดยการรวบรวมความรู้และนำประสบการณ์จากต่างประเทศมาเป็นตัวอย่าง แล้วนำมาทำเป็นงานวิชาการเพื่อสนับสนุนและให้ภาคประชาชนมาช่วยออกแบบจนนำมาเป็นร่าง พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ ซึ่งหลักๆมีการสมทบจากคนที่มีแรงทำงาน มีองค์กรบริหารอิสระ โดยมีภาคีด้านแรงงานเป็นคนขับเคลื่อน
ส่วน สถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เล่าถึงสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. นี้ คือ ให้จัดตั้งกองทุนให้ประชาชนทั่วไป ที่มีอายุระหว่าง 20-60 ปี ซึ่งไม่อยู่ในระบบราชการ หรือได้รับบำเหน็จบำนาญ และสวัสดิการในระบบที่มีอยู่แล้ว เปิดให้ประชาชนผู้เข้าร่วมจ่ายเงินสมทบแบบการออม 100-1,000 บาท/เดือน แล้วรัฐจะจ่ายสมทบให้อีกส่วนหนึ่ง โดยหลังจากที่อายุครบ 60 ปี จะได้รับเงินเป็นรายเดือน ซึ่งจะช่วยให้คนที่อยู่นอกระบบ และไม่ได้ทำประกันสังคมได้รับบำนาญเมื่อเข้าสู่วัยชรา มีประสิทธิภาพที่ดีหลังวัยเกษียณอายุ โดยจะแยกออกมาคนละส่วนกับระบบการประกันสังคม และปัจจุบันคนในระบบที่ทำประกันสังคมมีเพียง 13% หากคนนอกระบบเข้ามาในระบบได้ถึงครึ่งหนึ่งของส่วนที่อยู่นอกระบบจะเป็นการรองรับให้ชีวิตประชาชนดีขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยชรา มีเงินออมเป็นของตัวเอง ทำให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันให้กับชีวิต
ด้าน เอนก จิรจิตอาทร เครือข่ายบำนาญประชาชน เล่าถึงความต่างของร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ของภาคประชาชนกับของกระทรวงการคลัง ว่า ร่างของรัฐบาลจะให้มีการถอนออกมาแล้วได้เงินหลังเกษียณอายุ เป็นเงินบำเหน็จ แต่สิ่งที่ประชาชนต้องการคือไม่ให้มีการถอน จะให้รับเป็นเงินบำนาญเพราะต้องการให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันที่มั่นคง เพราะที่ผ่านมาจะเห็นภาพคนชราถูกปล่อยทิ้งลูกหลานไม่เหลียวแลทำให้เกิดภาพขอรับเงินบริจาคช่วยเหลือ แต่หากร่าง พ.ร.บ.นี้เกิดขึ้นเชื่อว่าจะไม่มีภาพอย่างนี้เกิดขึ้นแน่นอน ตรงกันข้ามลูกหลานจะกลับมาให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติเปิดกว้างให้ทั้งคนในระบบและนอกระบบสามารถทำได้ยกเว้นข้าราชการ หากคนที่ทำประกันสังคมมีกำลังพอที่จะจ่ายทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไปได้ การที่เปิดกว้างให้เข้าถึงสิทธิตรงนี้เพื่อต้องการให้ครอบคลุมเพราะต้องการให้ประชาชนมีหลักประกันที่มั่นคงหลังเกษียณอายุ
ขณะที่ ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านหลักประกันทางสังคมสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยกล่าวว่า ระบบบำนาญควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมหากรัฐบาลจะจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ ควรให้ประชาชนทุกคนเข้าเป็นสมาชิกร่วมออมได้ โดยไม่แยกส่วน โดยควรครอบคลุมไปถึงกลุ่มลูกจ้างเอกชนในระบบประกันสังคม (ปกส.) ด้วย เพราะคนกลุ่มนี้ก็มีการเปลี่ยนงานจากในระบบ เป็นนอกระบบ หรือกลับไปกลับมา ก็จะทำให้บำนาญที่ได้จากระบบที่สังกัดอยู่น้อยลง
ไชโย!! ใครๆ ก็มีบำนาญได้แล้ว ใครอยากมีความมั่นคงให้กับชีวิตในตอนแก่ หันมาใส่ใจ พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติหน่อยละกัน....
//////////////////////////////////

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เมืองหลวงอีสาน ชูแนวคิด “ดับทุกข์-สร้างสุขด้วยสีเขียว” พลิกชีวิตหนุ่มอังกฤษอยู่แบบพอเพียง

--------------------
โปรย : ขอนแก่นตั้งเป้า ปี 2560 ปลูกครบ 9,999,999 ต้น ดึงชีวิตต่างชาติไฮโซที่ผกผันเป็นชาวสวนเป็นโมเดล นำร่องอาหารปลอดภัย สร้างแบรนด์ซำสูง 'Sum-Sung' แดนอีสาน คุณภาพไม่แพ้แบรนด์ดังต่างชาติ
---------------------
โลกของเราทุกวันนี้นับวันแต่จะร้อนมากขึ้น เนื่องจากมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติด้วยการตัดไม้ทำลายป่าแลกเปลี่ยนเป็นเงิน โดยไม่คิดที่จะปลูกต้นไม้ทดแทน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือหายนะจากภัยธรรมชาติทั้งน้ำท่วมฉับพลันในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ผลที่ตามมาจึงทำให้หน้าดินถูกชะล้างลงไปตามแม่น้ำลำคลองบางแห่งเกิดดินถล่ม ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล บางแห่งเกิดภัยแล้งซ้ำซาก ทำให้สัตว์และพืชที่มีอยู่ในธรรมชาติตายหมด เป็นผลให้ผู้คนตั้งแต่เด็ก สตรี และคนชราขาดอาหาร
คณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ลงเยี่ยมพื้นที่ปฏิบัติการรวมพลังพัฒนาจังหวัดขอนแก่นให้เป็นจังหวัดที่อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน โดยโรงพยาบาลอุบลรัตน์ เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสาน จ.ขอนแก่น ได้ร่วมกันสร้างยุทธศาสตร์บูรณาการระดับจังหวัด ด้วยการระดมภาคีทุกภาคส่วนในจ.ขอนแก่นมาปลูกต้นไม้ยืนต้นที่หลากหลาย 9,999,999 ต้น ภายในปี 2560 ไปพร้อมๆกับการพัฒนาและการวิจัยของศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ผลิตเข้ากับผู้บริโภคในทุกระดับตั้งแต่ชุมชน ตำบล อำเภอ และจังหวัด
นอกจากนี้ยังได้มีการส่งเสริมการปลูกผักปลอดสารพิษ ภายใต้การริเริ่มของอำเภอซ้ำสูง ซึ่งกลายเป็นอำเภอต้นแบบอาหารปลอดภัยในที่สุด ภายใต้รูปแบบการจัดสรรให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการทำกินและปลูกผักปลอดสารพิษอย่างเท่าเทียม โดยดำเนินการในที่สาธารณประโยชน์ 8 แห่ง คือ ดอนหนองแวง โคกหนองทุ่ม บริเวณรอบหนองโน บริเวณบ้านสว่าง บริเวณรอบหนองคำ บ้านโสกขาแก้ว บริเวณรอบหนองคลอง และบริเวณรอบหนองช้างตาย ครอบคลุมพื้นที่ 229 ไร่ 1 งาน มีประชาชนเข้าร่วมโครงการ 686 ราย
นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 สสส. กล่าวว่า สสส.เป็นหน่วยงานที่ให้ความใส่ใจเรื่องสุขภาพ ฉะนั้นการให้ความสนับสนุนเรื่องการกินดีอยู่ดี บริโภคผักปลอดสารพิษ ดูแลสุขภาพไม่เอาสารพิษเข้าสู่ร่างกาย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน ยิ่งในขณะที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย แต่ประชาชนในขอนแก่นกลับสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ด้วยการปรับตัวสวนกระแสทุนนิยม ไม่รอเพียงการทำธุรกิจภาคอุตสาหกรรม ต้องเน้นการเกษตรกรรมควบคู่กันไปด้วย ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง และช่วยให้บ้านเมืองอยู่รอดได้อย่างเต็มภาคภูมิ
นพ.อภิสิทธิ์ ธำรงวรางกรู ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุบลรัตน์ กล่าวว่า ด้วยพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงได้พระราชทานพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแก่คนไทยทุกหมู่เหล่านำไปปฏิบัติให้สามารถพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองได้อย่างสมดุล ด้วยการรู้จักความเพียงพอ รู้จักออม ด้วยการออมน้ำ ออมดิน ออมสัตว์ และออมต้นไม้ยืนต้นที่หลากหลาย ออมเงิน สั่งสมกัลยาณมิตร สั่งสมภูมิปัญญาในการแก้ปัญหาและทำคุณงามความดี ซึ่งเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสานได้นำแนวทางพระราชดำริในเรื่องนี้มาปฏิบัติอย่างจริงจัง
“ชาวบ้านบอกว่า ชีวิตเปลี่ยนไปมาก มีอยู่มีกิน เหลือกินให้แจกเพื่อน เหลือแจกได้ขายทำให้มีเงิน กลายเป็นคนที่มีอยู่มีกิน มีเพื่อน มีเงินมีสุข ภาวะดีทั้งทางกาย ทางใจ ทางสังคมและทางสติปัญญา สนับสนุนให้ชาวบ้านมีสัมมาอาชีพมีรายได้ ไม่หวังพึ่งการพนัน ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่มาสร้างมูลค่า เช่น พืชผัก การปลูกป่า แลกเปลี่ยนความคิด ทำให้เกษตรกรกลับมาคิดใหม่ แล้วเราก็เป็นตลาดใหญ่ที่จะซื้อผักปลอดสารเคมีได้” นพ.อภิสิทธิ์ กล่าว
ด้าน มาร์ติน วีเลอร์ ชาวอังกฤษที่มาได้ภรรยาที่ จ.ขอนแก่น ปัจจุบันอายุ 49 ปี ชีวิตผกผันจากหนุ่มไฮโซมาเป็นชาวไร่ชาวสวนที่ขอนแก่น ได้เล่าถึงชีวิตที่อยู่ประเทศอังกฤษว่าเขาอยู่ในครอบครัวชนชั้นสูง แต่เป็นเด็กเกเรและติดยาตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เรียนจบก็ได้ออกเดินทางเที่ยวจนกระทั่งมาได้ภรรยาคนไทย มีลูกด้วยกัน 2 คน จากที่เป็นคนสูบบุหรี่จัด กินเหล้า เที่ยวเก่งก็ได้เลิกทุกอย่างเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกชายทั้ง 2 และหันมาสนใจในการปลูกต้นไม้ ทำนา ทำสวน เพราะคิดว่านี่คือบำเหน็จให้กับลูก
“ผมมองว่าการทำนาเปรียบเสมือนเป็นการออกกำลังกายทำให้สุขภาพดีกว่าการวิ่งในระยะไกลๆ ตอนนี้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ซึ่งคนไทยโชคดีที่เกิดในประเทศไทยมีหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริไว้ให้ ควรหันมาใส่ใจในการทำการเกษตรไม่ต้องวิ่งตามกระแสคนต่างชาติ เพราะความจริงแล้วคนต่างชาติไม่ได้รวยอย่างที่คิดกว่าจะมีบ้านเป็นของตัวเองก็ต้องเป็นหนี้ก้อนโต ไม่เหมือนคนไทยถึงจะจนแต่ก็มีบ้านเป็นของตัวเอง ควรภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองมี” มาร์ติน กล่าว
ขณะที่ รศ.ดร.สุพัตรา ชาติบัญชาชัย ผู้จัดการแผนงานผักปลอดภัยจากสารพิษ จ.ขอนแก่น โดยการสนับสนุนของ สสส. กล่าวว่า แผนงานผักปลอดสารพิษได้สัมผัสกับความงดงามและความมั่งคั่งของวัฒนธรรม รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติที่แฝงตัวอย่างกลมกลืนภายใต้ความเรียบง่ายและการดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมกับการปรับตัวตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างกลมกลืน ชาวซำสูงมีความยินดีที่จะต้อนรับมิตรจากถิ่นอื่นได้มาเยี่ยมชม สักการระพระพุทธรูป วิถีทำการเกษตรอย่างปลอดภัย หัตถกรรมพื้นบ้าน ต้นยางนาใหญ่ๆ ที่อยู่กระจัดกระจายทั่วๆไป เมืองไม่ใหญ่โต แต่มีสิ่งดีๆให้ชมได้ทั้งความสุขและความรู้
ด้านไกรสร กองฉลาด นายอำเภอซำสูง กล่าวว่า โครงการคนซำสูงไม่ทอดทิ้งกัน เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาความยากจนแบบบูรณาการ โดยในปี 2551 อำเภอซำสูงร่วมกับแผนงานผักปลอดสารพิษ สสส. จัดทำยุทธศาสตร์อาหารปลอดภัยขึ้น โดยมีเป้าประสงค์เพื่อผลิตอาหารปลอดภัยจากการใช้สารเคมีลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้ผลิตและผู้บริโภค เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือเป็นหลักประกันให้ชาวบ้านมีศักยภาพในการเข้าถึงอาหาร ลดรายจ่าย รับประทานในครอบครัว แบ่งปัน จำหน่ายเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว โดยมีการสร้างแบรนด์ขึ้น เพราะแบรนด์ของสินค้าเป็นเรื่องสำคัญ สามารถสร้างอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้บริโภค กำหนดจุดยืนของสินค้าและบริการได้ ผักจากซำสูงออกสู่ตลาดต้องมีจุดเด่น ทางอำเภอได้จัดสรรงบประมาณขอความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นในการออกแบบตราสินค้า ผลิตภัณฑ์อำเภอซำสูงขึ้นพร้อมจัดทำบูธและรถเข็นผักจำหน่ายผักปลอดสาร เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรจำหน่ายตามจุดสำคัญด้วยกันคือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตลาดบางลำพู ตลาดเทศบาลซำสูง และเขตอำเภอซำสูง ตำบลละ 1 จุด
บ้านเมืองจะร่มรื่นไม่มีภัยธรรมชาติ สุขภาพดีเยี่ยมควรยึดแบบอย่างชาวขอนแก่น !!!!
////////////////////////////////

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สสส.สภาผู้แทนฯ ชี้ร่าง พรบ.กองทุนการออมสร้างชีวิตที่มั่นคง

สสส.ร่วมสภาผู้แทนฯ - เครือข่ายบำนาญประชาชน
ชี้ “ร่างพ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ” ช่วยคนนอกระบบร่วม 1 ใน 3 ของคนประเทศ
เพื่อสร้างชีวิตที่มั่นคงด้วยการออม ตั้งเป้าลบภาพวัยชราถูกทอดทิ้ง

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ คณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เครือข่ายบำนาญประชาชน จัดสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กับการสร้างระบบบำนาญพื้นฐานที่เป็นจริง” เพื่อช่วยสร้างหลักประกันทางการเงินในยามชราให้กับกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ไม่มีหลักประกันทางรายได้เหมือนกลุ่มข้าราชการ หรือลูกจ้างเอกชนที่เป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคมที่มีจำนวนอยู่ประมาณ 23.5 ล้านคน (ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรไทย 67.3 ล้านคน) ได้มีโอกาสที่จะมีโครงการบำนาญสูงอายุสำหรับหลักประกันด้านรายได้ในยามชราภาพของตนเองด้วยการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติ โดยหลักการเงินบำนาญประชาชนนั้น สามารถฝากเงินผ่านกองทุนโดยที่ประชาชนเป็นผู้ออมและรัฐบาลเป็นผู้สมทบ เมื่ออายุครบ 60 ปี จะได้เงินบำนาญ การจัดเงินสมทบ จัดแบ่งเป็น อายุต่ำกว่า 20 ปี รัฐไม่จ่ายสมทบ อายุ 20-30 ปี รัฐสมทบ 50 บาท/เดือน อายุ 30-50 ปี รัฐสมทบ 80 บาท/เดือน และ อายุ 50-60 ปี รัฐสมทบ 100 บาท/เดือน เมื่อสมทบจนอายุครบ 60 ปี รัฐจะจ่ายคืนเป็นบำนาญไปจนกระทั่งเสียชีวิต โดยกฎหมายฉบับนี้เปรียบได้กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของภาคเอกชน
ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. กล่าวว่า พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติมีเป้าหมายเพื่อปลูกจิตสำนึกให้ประชาชน เริ่มหันมาดูแลตัวเอง และสนใจกับอนาคตเมื่อเข้าวัยชรามากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมที่มีประชากรวัยชรา (ประมาณ 7.3 ล้านคน) เหมือนสังคมของประเทศสิงคโปร์ การมีกองทุนการการออมระหว่างที่ประชาชนยังมีกำลังทำงานถือเป็นเรื่องดี ทำให้เกิดเงินออมระยะยาวสำหรับตัวเอง โดยมีรัฐบาลสมทบเข้ามา เพื่อใช้เป็นบำนาญเมื่อพ้นวัยทำงาน เหมือนเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับอนาคตตัวเอง ด้วยตัวเอง เรียกว่า เป็นหลักประกันรายได้ให้ผู้สูงอายุมีชีวิตในอนาคตที่มั่นคงยิ่งขึ้น
“สสส.เองได้ทำงานเรื่องนี้มา 2-3ปีโดยการรวบรวมความรู้และนำประสบการณ์จากต่างประเทศมาเป็นตัวอย่าง แล้วเอามาทำเป็นงานวิชาการเพื่อสนับสนุนและให้ภาคประชาชนมาช่วยออกแบบจนนำมาเป็นร่าง พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ ซึ่งหลักๆมีการสมทบจากคนที่มีแรงทำงาน มีองค์กรบริหารอิสระ โดยมีภาคีด้านแรงงานเป็นคนขับเคลื่อน” ทพ.ศิริเกียรติ กล่าว
นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. นี้คือ ให้จัดตั้งกองทุนให้ประชาชนทั่วไป ที่มีอายุระหว่าง 20-60 ปี ซึ่งไม่อยู่ในระบบราชการ หรือได้รับบำเหน็จบำนาญ และสวัสดิการในระบบที่มีอยู่แล้ว เปิดให้ประชาชนผู้เข้าร่วมจ่ายเงินสมทบแบบการออม 100-1,000 บาท/เดือน แล้วรัฐจะจ่ายสมทบให้อีกส่วนหนึ่ง โดยหลังจากที่อายุครบ 60 ปี จะได้รับเงินเป็นรายเดือน ซึ่งจะช่วยให้คนที่อยู่นอกระบบ และไม่ได้ทำประกันสังคมได้รับบำนาญเมื่อเข้าสู่วัยชรา มีประสิทธิภาพที่ดีหลังวัยเกษียณอายุ โดยจะแยกออกมาคนละส่วนกับระบบการประกันสังคม และปัจจุบันคนในระบบที่ทำประกันสังคมมีเพียง 13% หากคนนอกระบบเข้ามาในระบบได้ถึงครึ่งหนึ่งของส่วนที่อยู่นอกระบบจะเป็นการรองรับให้ชีวิตประชาชนดีขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยชรา มีเงินออมเป็นของตัวเอง ทำให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันให้กับชีวิต
นายเอนก จิรจิตอาทร เครือข่ายบำนาญประชาชน กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ของภาคประชาชนต่างกับของกระทรวงการคลังคือรัฐบาลจะให้มีการถอนออกมาแล้วได้เงินหลังเกษียณอายุ เป็นเงินบำเหน็จ แต่สิ่งที่ประชาชนต้องการคือไม่ให้มีการถอน จะให้รับเป็นเงินบำนาญเพราะต้องการให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันที่มั่นคง เพราะที่ผ่านมาจะเห็นภาพคนชราถูกปล่อยทิ้งลูกหลานไม่เหลียวแลทำให้เกิดภาพขอรับเงินบริจาคช่วยเหลือ แต่หากร่าง พ.ร.บ.นี้เกิดขึ้นเชื่อว่าจะไม่มีภาพอย่างนี้เกิดขึ้นแน่นอน ตรงกันข้ามลูกหลานจะกลับมาให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติเปิดกว้างให้ทั้งคนในระบบและนอกระบบสามารถทำได้ยกเว้นข้าราชการ หากคนที่ทำประกันสังคมมีกำลังพอที่จะจ่ายทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไปได้ การที่เปิดกว้างให้เข้าถึงสิทธิตรงนี้เพื่อต้องการให้ครอบคลุมเพราะต้องการให้ประชาชนมีหลักประกันที่มั่นคงหลังเกษียณอายุ
ดร.พรหมมิน สีตบุตร ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า พ.ร.บ.ที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นมิติที่ดีสำหรับการเริ่มต้นให้หลักประกันความมั่นคงสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งกองทุนนี้อนาคตจะเป็นกองทุนที่ใหญ่โตมโหฬาร เพราะตามที่รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆกล่าวอ้าง กองทุนบำเหน็จบำนาญจะเกิดเป็นตัวเงินที่ใหญ่มหาศาลที่อนาคตจะมีถึงกว่าล้านล้านบาท แต่สังคมจะเป็นทุกข์หากไม่เกิดความร่วมมือของทุกฝ่ายซึ่งไม่ต่างกับระบบประกันสังคม แต่เงินนี้จะต่างกับระบบประกันสังคมตรงที่ว่าเงินประกันสังคมจะมีการนำไปจ่ายในการรักษาพยาบาล แต่เงินออมส่วนใหญ่เป็นเงินสะสมไม่มีการถอนออกจนกว่าจะเกษียณอายุ การจะทำให้ครอบคลุมให้คนชราทุกคนต้องทำให้ผู้สูงอายุทุกคนได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน
นางสาวสุปาณี จันทรมาศ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการออม สำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ประเทศไทยยังไม่มีการออมเพื่อการดำรงชีพในวัยชราเสี่ยงต่อความยากจนในอนาคต ดังนั้นจึงเกิดการร่าง พรบ.กองทุนการออมแห่งชาติเพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันชีวิตที่มั่นคงและได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐได้อย่างทั่วถึง ปัจจุบันมีแรงงานในระบบอยู่แค่ 4.11 ล้านคน อีกกว่า 19 ล้านคนยังไม่อยู่ในระบบ กองทุนการออมนี้เป็นการสร้างวินัยในการออมไม่เหมือนเป็นการช่วยเหลือเบี้ยยังชีพสำหรับวัยชรา กองทุนการออมเป็นเหมือนองค์กรอิสระที่ตัวแลเรื่องบำนาญของประชาชน พร้อมทั้งมีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
-------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างชีวิตที่ยั่งยืน

สร้างความมั่นคงทางอาหาร สร้างชีวิตที่ยั่งยืน
-----------------------
โปรย : ความมั่นคงทางอาหารจะเกิดขึ้นได้ เมื่อประชากรทุกคน สามารถเข้าถึงและซื้อหาอาหารที่ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ ในปริมาณที่เพียงพอ ในการตอบสนองความต้องการของร่างกายและรสนิยมความชอบ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตที่แข็งแรงและมีสุขภาพดี
----------------------
ตามที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศส่งออกอาหารอันดับต้นๆของโลก แต่ภาพลักษณ์ดังกล่าวหลายคนเชื่อว่าเป็นเพียงภาพมายา เนื่องจากปรากฏว่ามีประชาชนอีกจำนวนมากยังขาดความมั่นคงทางอาหาร ดังตัวเลของค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติที่รายงานว่าร้อยละ 17 ของคนไทยยังไม่ได้รับอาหารที่เพียงพอ เช่นเดียวกับข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการที่ระบุว่ายังมีเด็กนักเรียนอีกราวร้อยละ 7 ที่ไม่ได้รับอาหารเพียงพอต่อความต้องการสำหรับการเจริญเติบโต นอกจากความไม่เป็นธรรมแล้ว ความมั่นคงทางอาหารของประเทศยังถูกกัดกร่อนจากวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม ความเสื่อมโทรมของทรัพยากร ปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกับแผนงานสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารผ่านการพัฒนาต้นแบบระดับชุมชนและการขับเคลื่อนนโยบายระดับชาติ มูลนิธิชีววิถี ฯ จัดประชุมสมัชชาวิชาการความมั่นคงทางอาหารบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพขึ้น หลังเกิดผลกระทบการเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศและแรงผลักดันจากการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ผลิตอาหารเป็นพื้นที่สำหรับผลิตพืชพลังงาน
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี ผู้จัดการแผนงานสนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร สสส.กล่าวว่า ทางแผนงานตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อด้านความมั่นคงทางอาหาร จึงดำเนินการจัดสมัชชาความมั่นคงทางอาหารประจำปี 2553ขึ้น เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาศักยภาพการพึ่งพิงตนเองด้านอาหารของชุมชน การรณรงค์สาธารณะเกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมทั้งการขับเคลื่อนทางนโยบายเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและอธิปไตยทางอาหาร ทั้งนี้ด้วยการสร้างความมั่นคงทางอาหารและการพึ่งพาตนเองด้านอาหารของสังคมไทย และการขจัดความไม่เป็นธรรมในระบบการเกษตรและอาหารมีพื้นฐานอยู่ที่การฟื้นฟูศักยภาพและการเรียกร้องสิทธิของเกษตรกรและชุมชนในการอนุรักษ์ พัฒนา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ การเข้าถึงทรัพยากรขั้นพื้นฐานและการพึ่งพาตนเองในปัจจัยการผลิตทางการเกษตร รวมถึงการตระหนักรู้เท่าทัน เพื่อป้องกันและขจัดการผูกขาดของบรรษัทขนาดใหญ่ที่พยายามครอบครองฐานทรัพยากรอาหาร ระบบการกระจายอาหาร และวัฒนธรรมอาหารไปพร้อมๆกัน
ด้าน ลดาวัลย์ คำภา รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บอกว่า ยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางอาหารในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยง เช่น วิกฤติโลกร้อน มากขึ้น และสร้างความสมดุลอาหารและพลังงาน แต่ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ เยาวชนไทยไม่สนใจประกอบอาชีพเกษตรกร ทำให้ความสำคัญด้านอาหารเริ่มเสื่อมถอย อีกทั้งค่าเฉลี่ยของประชากรช่วงอายุ 60 ปีเป็นช่วงอายุของคนที่ทำการเกษตร หากไม่สนับสนุนก็จะไม่มีใครมาทำการเกษตรให้บริโภค โดยทิศทางแผน 11 มี 6 ยุทธศาสตร์ คือ 1.ยุทธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมในสังคม 2.ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน 3.ยุทธศาสตร์การสร้างความสมดุลและมั่นคงของอาหารและพลังงาน 4.ยุทธศาสตร์การสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้และการสร้างปัจจัยแวดล้อม 5.ยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในภูมิภาค 6. ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งไม่เน้นด้านการแข่งขัน แต่เน้นการสนับสนุนพืชการเกษตร และการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความมั่นคงในอาชีพ สร้างความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน ต้องปรับระบบบริหารการจัดการภาครัฐเพื่อเสริมสร้างความสมดุลด้านอาหาร ซึ่งการจัดวางความสมดุลมี 2ส่วน ที่ประกอบกัน คือ 1.คงความประสิทธิภาพการส่งออก 2.ให้เกษตรกรรายย่อยพึ่งพาตนเอง และสร้างภูมิคุ้นกัน
ขณะที่ รศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า กรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านความมั่นคงทางอาหารควรมีองค์ประกอบ 4 ข้อ ดังนี้ 1.ความมั่นคงอาหาร ต้องมีการวางแผนการผลิตให้ครอบคลุมความต้องการของผู้ผลิตและผู้บริโภค 2.คุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ให้ความรู้กับกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนในการเพาะปลูก หากสิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย ก็อาจส่งผลให้มีผลผลิตมีราคาสูง ต้องให้ได้รับโภชนาการอย่างพอเพียง ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ทั้งโปรตีน ไขมัน ก็จะเกิดความมั่นคงทางอาหาร 3.อาหารศึกษา ต้องมีการจัดการระบบที่ดี ทั้งพื้นที่เพาะปลูก ราคาผลิตผล ที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยให้เกิดความมั่นคงได้ 4.การบริหารการจัดการ ซึ่งสถานการณ์ด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหารต่อ การค้าระหว่างประเทศ ในปี 2552 ไทยส่งออกอาหารทั่วโลก เป็นมูลค่าสูงถึง 754,212 ล้านบาท มีการนำเข้าอาหารเพิ่มขึ้น การส่งออกมีข้อกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี มีการเปิดการค้าเสรี ซึ่งสินค้านำเข้า มีปริมาณมากขึ้น โดยในปี 2551 นำเข้าอาหาร มูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท และนำเข้าผัก ผลไม้ 2 หมื่นล้านบาท
การเข้าถึงอาหารประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาทุพโภชนาการสองด้าน คือด้านสุขภาพและการเฝ้าระวัง เพราะความยากจนพุ่งสูงขึ้น ราคาอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้การเข้าถึงอาหารยากขึ้น ฉะนั้นทุกฝ่ายต้องช่วยกันสร้างความมั่นคงทางอาหารเพื่อสร้างชีวิตที่ยั่งยืนของคนไทย
///////////////////////////

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ออก “เจ” อย่างไร “ไม่อ้วนฉุ-ไร้พุง”

ออก “เจ” อย่างไร “ไม่อ้วนฉุ-ไร้พุง”
----------------------
โปรย : ใช้เมนูต้ม ยำ ย่าง อบ แทนการกินเมนูอาหารประเภทที่ใช้น้ำมัน ลดอาหารหวาน กินให้หลากหลาย ออกกำลังกายควบคู่กันไปอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ก็จะทำให้สุขภาพแข็งแรง หุ่นดี ไม่มีโรคภัยแอบแฝง
-----------------------
หนึ่งในความน่าเป็นห่วง หลัง “อิ่มบุญ” จากเทศกาลกินเจที่ได้ “ละ เลิก เสียสละ” แล้วก็คือ การบริโภคอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตเกินขนาด
คำถามที่ตามมาจึงอยู่ที่ว่า “ระหว่างที่เราลด เลิก เสียสละ” เพื่อคนอื่นๆแล้ว เราจะดูแลตัวเองอย่างไร ไม่ให้เบียดเบียนตัวเองด้วย โดยเฉพาะหนุ่มสาวยุคใหม่ที่หันมานิยม “กินเจ” กันเป็นอีกหนึ่งเทรนทำบุญ
ล่าสุด สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดให้ความรู้กับการกินเจ อย่างถูกวิธี โดยความหมายของการกินเจ หมายถึงการรักษาศีล ปฏิบัติธรรมทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่หมายความเพียงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น การปฏิบัติธรรมร่วมไปด้วยจึงจะครบเป็น “การถือศีล-กินเจ” อย่างแท้จริง
อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาระบบและกลไก เพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย ภายใต้การสนับสนุนของ สสส.บอกว่า แก่นแท้ของการกินเจ คือ ถือศีล ซึ่งเทศกาลกินเจเป็นเทศกาลแห่งการสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเองและผู้อื่น โดยการทำบุญ ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ คือการไม่กินเนื้อสัตว์ ที่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆอย่างในการถือศีล การมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นทุกข์ และคำว่า “เจ” มาจากคำว่า “ไจ” ของชาวจีน แปลว่าไม่มีเนื้อสัตว์ การกินเจสามารถกินผักและผลไม้ได้ทุกชนิด ยกเว้น หอม กระเทียม หลักเกียว กุยช่าย และใบยาสูบ กินเจสร้างสุขต้องคำนึง 5 ประการ 1.กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ 2.กินให้หลากหลายและพอเหมาะ 3.กินอาหารเจรสไม่จัด 4.กินอาหารเจที่สะอาด 5. กินข้าวกล้อง ดื่มน้ำเปล่าบริสุทธิ์ และการกินเจยังได้ประโยชน์อีก 4 สร้าง นั่นคือ 1.สร้างบุญ สร้างกุศล 2.สร้างสุขภาวะ 3.สร้างหุ่นดี ไม่มีพุง และ 4.สร้างการกินผักและผลไม้เป็นประจำ
“แต่ยังไงการกินเจก็ต้องระวังอาหารเจไขมันสูง เช่น หลีกเลี่ยงกินอาหารเจแบบผักน้ำมันเยิ้มๆ ไม่ควรกินอาหารเจประเภททอดน้ำมันลอยบ่อยจนเกินไป กินอาหารเจ ประเภทเมนูต้ม ยำ ย่าง อบ ประจำ ไม่ควรกินถั่วลิสง และเม็ดมะม่วงหิมพานต์บ่อย แต่ก็ควรระวังเนื้อสัตว์เทียมที่ทำมาจากแป้ง เพราะจะทำให้กินแป้งเกินในที่สุดก็เกิดความอ้วน ต้องกินให้หลากหลายและพอเหมาะ กินผักผลไม้หลากหลายชนิด ล้างให้สะอาดก่อนกินทุกครั้ง กินหลายหลายเมนู/ไม่จำเจ กินอาหารสดธรรมชาติ หลีกเลี่ยง Process Food/ของดอง” อาจารย์สง่า กล่าว
นอกจากนี้อาจารย์สง่า ยังได้แนะนำวิธีการออกเจให้มีสุขภาพดี ว่า การกินผักติดต่อกันมานานถึง 9 วัน ได้ส่งผลให้ร่างกายปรับระบบการย่อยอาหารจากย่อยเนื้อสัตว์มาเป็นพืชผักแทน แต่เมื่อหันกลับมากินเนื้อสัตว์แบบเดิม จะทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทันได้ ดังนั้น อาหารหลังออกเจในระยะเริ่มแรกควรเริ่มด้วยอาหารที่ย่อยง่าย โดยเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ควรเน้นการกินปลา ไข่ และนม แทนก่อนแล้วจึงค่อยๆ เริ่มกินเนื้อไก่ หมู และวัว ตามลำดับ เพราะปลาเป็นอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพดี ย่อยง่าย มีไขมันต่ำ และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นผลดีต่อสุขภาพ ป้องกันโรคหัวใจหลอดเลือดได้ เมนูปลาที่รับประทานควรเป็นประเภทต้ม นึ่ง ย่าง แทนการทอด แต่ถ้าต้องการกินผลิตภัณฑ์ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น เต้าหู้และโปรตีนเกษตรแทนเนื้อสัตว์ต่อไป ก็ไม่เสียหาย แต่แนะให้ดื่มนมและกินไข่ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้ได้โปรตีนที่มีคุณภาพพอเพียงต่อร่างกาย
อย่างไรก็ตามในวันออกเจถือเป็นโอกาสที่ดีในการปรับพฤติกรรมการการกินอาหารของประชาชนที่กินเจทั้งกินเพื่อถือศีล ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และเพื่อสุขภาพ ให้เริ่มต้นการประเมินภาวะโภชนาการของตนเองแบบง่ายๆ ด้วยการชั่งน้ำหนักตัว เพื่อดูว่าน้ำหนักขึ้นในช่วงกินเจหรือไม่ หากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 กิโลกรัม แสดงว่าอาจเกิดจากการกินอาหารประเภทแป้งและไขมันจากอาหารเจมากเกินไป จึงควรเอาบทเรียนดังกล่าวมาปรับการกินอาหารหลังออกเจ และออกกำลังกายควบคู่กันไปอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ก็จะทำให้สุขภาพแข็งแรง หุ่นดี ไม่มีโรคภัยแอบแฝง
นพ. ฆนัท ครุฑกูล กรรมการเครือข่ายคนไทยไร้พุง สสส. กล่าวถึงเคล็ดลับ “กินเจอย่างไร....ให้ไร้พุง” ว่า ช่วงเทศกาลกินเจ อาจจะมีประชาชนบริโภคอาหารที่มีแป้งน้ำตาลมากขึ้น อันจะนำไปสู่ภาวะการเกิดโรคอ้วนและมีปัญหาด้านสุขภาพตามมา อาทิ โรคอ้วนโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และยังบอกเคล็ดลับในการกินเจเพื่อสุขภาพว่าต้องบริโภคอาหารให้ครบถ้วนได้แก่ 1.โปรตีนได้จากถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเมล็ดแห้ง อาหารประเภทนี้จะ มีคุณค่าทางอาหารเทียบเท่าเนื้อสัตว์ 2.ไขมัน ที่นำมาปรุงเป็นอาหารเจ ควรเป็นไขมันที่มาจากพืชต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ปาล์ม งา และควรรับประทานประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ เท่านั้น 3.ควรรับประทานผักผลไม้มากๆด้วย 4.ปรุงอาหารด้วยตนเอง พยายามลดแป้งให้เยอะที่สุด
คุณหมอ ฆนัท ย้ำหนักหนาว่า ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงอาหารเจที่มีปริมาณน้ำมันมากเกินไป เนื่องจากการทำอาหารประเภทเจส่วนใหญ่ มักจะเป็นอาหารประเภทผัดหรือทอด เราจึงต้องควบคุมการใช้น้ำมันกันด้วย นอกจากนี้คุณหมอยังแนะนำให้บริโภคโปรตีน 15% ไขมัน 30% และคาร์โบไฮเดรต 55% ของพลังงานที่ได้รับ และอยากเตือนประชาชนว่าอาหารเจไม่ใช่อาหารเพื่อสุขภาพ
เอ้า!! ใครอยากออกเจมีสุขภาพดี ปฏิบัติตามนี้ดีแน่นอน...
/////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

‘ความเหลื่อมล้ำ’ ทำเหตุ “เด็ก” เสี่ยงตายยอดพุ่ง 4 จังหวัดทั่วประเทศในรอบ 10 ปี

‘ความเหลื่อมล้ำ’ ทำเหตุ “เด็ก” เสี่ยงตายยอดพุ่ง 4 จังหวัดทั่วประเทศในรอบ 10 ปี
-----------------------
โปรย : เปิดสถานการณ์ 4 จังหวัดอันตรายเด็กเสี่ยงตายมากที่สุด เหตุการขยายตัวของชุมชนแออัด เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วเกินไป มีผลต่อการตายของเด็ก โดยกาญจนบุรี มีรายได้ความมั่นคงสูงสุดจากการติดตามรายงานการตายจากใบมรณบัตรตั้งแต่ปี 2546-ปัจจุบัน
-----------------------
ช่องว่างระหว่างความร่ำรวยกับความยากจนกลายเป็นปัญหาที่ประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย หรือแม้แต่อินเดียและจีน เกิดวิกฤติทำให้แม่และเด็กถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง และทำให้วัยรุ่นต้องใช้ชีวิตอยู่ในความเสี่ยง การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจะต้องปรับปรุงการดูแลสุขภาพ ภาวะโภชนาการ การศึกษา ความเท่าเทียมทางเพศ และการคุ้มครองสิทธิให้แก่เด็ก จากการที่เด็กๆกว่าครึ่งหนึ่งของทั่วโลกอาศัยอยู่ในเอเชีย-แปซิฟิก การเพิ่มการบริการด้านสาธารณสุขไปยังกลุ่มคนยากจนจึงเป็นกุญแจสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมาย ต่อการลดจำนวนเด็กที่เสียชีวิตก่อนอายุครบ 5 ปี ลง 2 ใน 3 จากจำนวนเด็กที่เสียชีวิตเมื่อปี 1990
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับแผนงานความปลอดภัยในเด็ก จัดเสวนา “ทศวรรษความปลอดภัยในเด็ก เพื่อบรรลุนโยบายโลกสร้างพื้นที่เหมาะสมแก่เด็กเยาวชน” พร้อมเปิดสถานการณ์ “4 จังหวัดอันตราย” เด็ก “เสี่ยงตาย” มากที่สุด ซึ่งสถานการณ์ 4 จังหวัดอันตรายคือ กาญจนบุรี สระบุรี ลพบุรี และระยอง เนื่องจากการขยายตัวของชุมชนแออัด เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วเกินไป มีผลต่อการตายของเด็ก ในขณะที่ จ.กาญจนบุรี มีรายได้ความมั่นคงสูงสุด (จำนวน 995,733 บาท) คิดเป็น 3.2 เท่าของกทม. (311,225 บาท) ขณะที่สระบุรี ลพบุรี และระยอง ติดอันดับที่ 10, 23 และ 31 ตามลำดับจากการติดตามรายงานการตายจากใบมรณบัตรตั้งแต่ปี 2546-ปัจจุบัน
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้จัดการแผนงานความปลอดภัยในเด็ก สสส. เล่าว่า จากการสำรวจอัตราการบาดเจ็บในเด็ก 3 กลุ่มอายุ ได้แก่ อายุ 1-4 ปี 5-9 ปี และ 10-14 ปีในรอบ 10 ปี พบว่า มี 25 จังหวัดที่มีอัตราการตายในเด็กสูงขึ้นต่อเนื่องโดยที่ 4 จังหวัด มีอัตราการตายของเด็กสูงสุด ลักษณะการเสียชีวิตจมน้ำตายมากที่สุด มีฐานะยากจน ผลวิเคราะห์ข้อมูลการตายของเด็กในพื้นที่กทม.123 รายพบว่า ในปี 2550-2551 คิดเป็นร้อยละ 62.29 และปี 2552-2553 คิดเป็นร้อยละ 75.80 ลักษณะบ้านพักอาศัยของเด็กที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ ไม่มีบ้านพักอาศัยในที่ดินของตัวเอง อยู่ในเขตชุมชนแออัด สลัมในเมือง และปริมณฑล พบว่ากลุ่มที่อยู่ในเมืองจะแอบปลูกที่พักอาศัยริมคลองสาธารณะ ที่รถไฟ ทำให้กลุ่มเด็กเล็กจะเสียชีวิตจากการจมน้ำจากแหล่งน้ำรอบบ้านพักอาศัย ส่วนเด็กโตจะเสียชีวิตจากการชักชวนกันไปเล่นน้ำ และมักจะมาจากครอบครัวที่หย่าร้างร้อยละ 44 และยังพบว่า แม้จะมีการนำชุดความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในเด็กไปให้ ครอบครัวเหล่านี้ก็ไม่มีศักยภาพปฏิบัติตามได้
“การขยายตัวของชุมชนแออัดที่เกิดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วจนเกินไป มีผลต่อการตายของเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในชุมชนแออัดเสี่ยงตายสูงสุด หากไม่แก้ปัญหา ชุมชนจะเริ่มมีสภาพ “ความเป็นเมือง” ที่ไร้คุณภาพ ก่อให้เกิด “คนจนเมือง” เหมือนคนกรุงเทพฯสมัยก่อน ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการตายสูงสุด เช่น จมน้ำ ถูกรถชน และอุบัติเหตุอื่นๆ” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าวและว่า สิทธิความปลอดภัยของเด็กถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้ โดยสหประชาชาติ กำหนดให้เด็กเยาวชนเติบโตอย่างมีคุณภาพภายในปี 2559 (A World Fit For Children) โดยมีเป้าหมายว่า ต้องลดอัตราการตายของเด็ก ซึ่งหากประมวลจากการตายของเด็ก 10 ปีที่ผ่านมา คาดว่าการบรรลุข้อตกลงนี้คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากยังไม่มีการออกมาตรการที่เหมาะสม เช่น มาตรการออกกฎหมายการสวมหมวกกันน็อกสำหรับเด็ก ที่ควรต้องปรับใช้ให้เหมาะสมกับอายุ เช่น เด็กโตต้องสวมหมวกกันน็อกที่ได้มาตรฐานทุกครั้ง แต่ขณะที่เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบยังไม่มีหมวกกันน็อกที่ขนาดเหมาะสม ก็อาจนำไปสู่มาตรการห้ามนั่งจักรยานยนตร์
ด้าน สุกัญญา เวชศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเด็ก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า เกณฑ์สิทธิความปลอดภัยขั้นต่ำของเด็กนั้น จำเป็นต้องมีปัจจัย 3 ประการคือ 1.มาตรการเฝ้าระวังเตือนภัยในเด็กที่มีประสิทธิภาพ 2.พัฒนาและสร้างองค์ความรู้ ส่งเสริมการวิจัย และสถิติความเสี่ยงที่ชัดเจน และ 3.สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย จึงจะนำไปสู่การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาโลกที่ดี และต้องสร้างความเข้าใจชุมชนเป็นอันดับแรก บางพื้นที่มีการใช้ “วัด” เปิดเป็นศูนย์เด็กเล็ก เพื่อแก้ปัญหาร่วมกันในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรัฐพึงกำหนดและประกาศเกณฑ์สิทธิความปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับเด็ก ซึ่งเป็นเกณฑ์ความปลอดภัยขั้นต่ำสุดที่รัฐและองค์กรกรท้องถิ่นต้องประกันการเข้าถึงเกณฑ์ดังกล่าวอย่างเสมอภาคของเด็กทุกคน โดยไม่ยินยอมให้เด็กผู้ใดต้องตกอยู่ในสภาพที่มีความปลอดภัยต่ำกว่าเกณฑ์นี้ และต้องจัดให้มีการรายงานพื้นที่ (จังหวัดและตำบล) ที่มีการละเมิดเกณฑ์สิทธิความปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับเด็กอันส่งผลให้เด็กเสียชีวิตจากการบาดเจ็บรุนแรง
ขณะที่ คมสัน จันทร์อ่อน ตัวแทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค ระบุว่าการเกิดเป็นชุมชนแออัด จนกลายเป็นสลัมทำให้เกิดความเสี่ยงในการตายสูง การให้ความรู้ทั้งแก่ผู้ปกครอง และตัวเด็กในเรื่องมาตรการป้องกันความปลอดภัย และการเพิ่มปริมาณศูนย์เด็กเล็กเพื่อดูแลเด็กก่อนวัยเรียนจึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน โดยปัจจุบันเครือข่ายสลัมได้ตั้งกองทุนธนาคารที่ดินเพื่อแก้ปัญหาให้คนจนที่เข้ามาอาศัยในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันก็ใช้เป็นวิธีตรวจสอบแหล่งที่อยู่ของผู้ปกครองและเด็กให้ชัดเจน ซึ่งจะสะดวกต่อการจัดสรรพื้นที่พักพิง และศูนย์เด็กเล็กในอนาคต เชื่อว่าจะสามารถช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุให้กับเด็กได้ หากไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งก็จะเกิดผลกระทบทำให้ไม่สามารถเข้าบริการของฝ่ายรัฐ ทางเครือข่ายสลัมได้เสนอให้รัฐจัดทำโครงการบ้านมั่นคงเพื่อจัดที่อยู่อาศัยเป็นชุมชน มีศูนย์ดูแลเด็กเพื่อไม่ต้องไปเล่นนอกชุมชน เด็กที่เกิดมาก็ไม่กลายเป็นเด็กเร่ร่อนที่กระจายไปตามอัตภาพทำให้เกิดสลัมขึ้นมาเรื่อย ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาทางการ และหากรัฐดำเนินการตามข้อเรียกร้องได้ก็จะมีความปลอดภัยในเด็กดีขึ้น ประเด็นสำคัญ คือ ชุมชนต่างๆ ต้องผนึกกำลังความร่วมมือในการแก้ปัญหาด้วยกันอย่างเป็นระบบ
เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเด็กเยาวชนอย่างแท้จริง!!
//////////////////////////////

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

ฟื้นเด็กนอกระบบกลับสู่ระบบ ด้วย ร.ร.ปลายข้าว

ฟื้นเด็กนอกระบบกลับสู่ระบบ ด้วย ร.ร.ปลายข้าว
-------------------------------
โปรย : เด็กที่ถูกผลักออกสังคม อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ โรงเรียนปลายข้าวต้องตามเก็บเพื่อนำเข้าสู่สังคมอีกครั้ง จนนำไปสู่การรับรางวัลที่ 1 การเล่านิทานธรรมะ พร้อมกลายเป็นกำลังหลักสร้างรายได้ของครอบครัว
----------------------------
ปัญหาการศึกษาของไทยที่กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยลมปาก หลังจากที่มีเด็กนอกระบบกว่า 1.7 ล้านคน จากเด็กในระบบการศึกษาทั้งหมดร่วม 14 ล้านคน อีกทั้งยังไม่มีเจ้าภาพอย่างแท้จริงในการแก้ไขปัญหาเด็กนอกระบบ สำนักส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กระทรวงศึกษาธิการ และเทศบาลเมือง จ.พัทลุง จึงได้ลงสำรวจต้นแบบโรงเรียนนอกระบบ ณ โรงเรียนปลายข้าว ที่จัดการเรียนการสอนตามหลักสัจธรรมความจริงด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อต่อยอดความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา เพราะหนทางออกคือต้องร่วมกันช่วยแก้ไขและทำอย่างต่อเนื่อง
นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการ สสค. บอกว่า สสค.กำลังพยายามทำให้สังคมตระหนักถึงปัญหาของเด็กนอกระบบที่เคยถูกมองข้าม โดยโจทย์แรกเห็นว่า เจ้าภาพน่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพราะมีหลักคิดอยู่แล้วว่าอปท.มีหน้าที่ต้องดูแลบริการพื้นฐานให้แก่ทุกคนในพื้นที่ของเขา ซึ่งรวมถึงเด็กที่อยู่นอกระบบด้วย แต่รูปแบบในการดูแลเด็กเหล่านั้นอาจไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว โดยน่าจะยืดหยุ่นได้ตามศักยภาพและความเหมาะสมของแต่ละท้องถิ่น เช่น เทศบาลเมืองพัทลุงที่ตามเก็บเด็กที่อยู่นอกระบบรวมทั้งเด็กที่หลุดจากระบบโรงเรียนให้กลับมามีโอกาสได้เรียนอีกครั้งโดยใช้ห้องเรียนธรรมชาติ อาทิ ลานวัด และไม่มีรูปแบบที่เคร่งครัด ยืดหยุ่นตามความต้องการของเด็กทำให้เด็กมีความสุขกับการเรียน เรียกว่าโรงเรียนปลายข้าว และเด็กเหล่านั้นก็ถูกเรียกว่านักเรียนปลายข้าว ซึ่งผลการดำเนินงานหลายปีผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร สสค.อยากให้อปท.หันมาทำงานเพื่อเด็กนอกระบบมากขึ้น และพร้อมให้การสนับสนุนทุนดำเนินโครงการที่น่าจะมีความยั่งยืน โดยระยะแรกจะเริ่มที่เทศบาลก่อน หลังจากนั้นจะขยายไปยัง อปท.ประเภทอื่น ๆ ต่อไป
นายโกสินทร์ ไพศาลศิลป์ นายกเทศมนตรีเมืองพัทลุง กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษาของโรงเรียนปลายข้าว ได้ใช้วิธีการเรียนการสอนแบบปฏิบัติจริง เน้นหลักคุณธรรมและความเมตตา เพราะเชื่อว่า การสร้างเด็กดี แม้อาจเรียนไม่เก่ง แต่พวกเขาจะไม่ทำให้สังคมเดือดร้อน และมองว่า สสค.น่าจะเป็นโรงพยาบาลการศึกษา ที่มีหน่วยงานที่คอยวิจัยโรคการเรียนรู้ เพื่อจะได้ให้ยาแก้ที่ตรงจุด ซึ่งต้องอาศัยการสร้างและประสานให้สังคมเกิดตระหนักในเรื่องการศึกษา ขณะเดียวกันก็จุดประเด็นความต้องการทางการศึกษาที่ตกหล่น พร้อมๆกับการเป็นพี่เลี้ยงให้กับโรงเรียนที่ยังไม่พร้อม และย้ำว่า การพัฒนาระบบทั้งในส่วนท้องถิ่น และส่วนกลาง ต้องเคลื่อนไหวไปด้วยกัน เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาด้านการศึกษาทั่วประเทศ ด้านครูเข็ม หรือนางสุภาณี ยังสังข์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการโรงเรียนเทศบาลวัดนางลาด (โรงเรียนปลายข้าว) ที่อุทิศตนเพื่อเด็กนอกระบบได้เล่าถึงต้นแบบครูเพื่อศิษย์ หรือครู 7 – Eleven : 24 ชั่วโมง ว่า เป็นการเริ่มจากการทำด้วยจิตใจ ใจรักถึงสามารถทำได้ เพราะไม่มีเงินพิเศษ ไม่มีการประเมินความดีความชอบ ซึ่งมีแต่ความรับผิดชอบล้วนๆ และมีเพิ่มขึ้นสำหรับครูอาสา ในโรงเรียนปลายข้าว เพื่อเปลี่ยนสภาพครูเชิงพาณิชย์ในสังคมไทยให้เป็นครูเพื่อศิษย์ ที่พร้อมจะเสียสละเวลาตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยตารางเรียนที่กำหนดขึ้นเอง ตามความสะดวกและความสนใจของเด็กแต่ละกลุ่มแต่ละคน ทำให้การมีอยู่ของโรงเรียนปลายข้าวแสดงถึงความเสียสละของโรงเรียนและครูอย่างแท้จริง ปัจจุบันเริ่มนำเด็กนอกระบบและในระบบมาเรียนร่วมกัน เพื่อสะท้อนให้เห็นสังคมที่แท้จริง ซึ่งตอนนี้สังคมก็ยอมรับ
น้องถัน หรือนายเอกพล เชียตุด นักเรียนชั้น ม.3 อายุ 16 ปี จากเด็กติดศูนย์ถึง 8 ตัว เที่ยวเก่ง กลายมาเป็นกำลังหลักหารายได้เข้าสู่ครอบครัว เล่าถึงความแตกต่างของการเรียนการสอนระหว่างโรงเรียนปลายข้าว และโรงเรียนทั่วไปว่าที่ปลายข้าวให้การเรียนรู้จากชีวิตจริงและประสบการณ์ตรง และสามารถกำหนดตารางเรียนและวิชาที่ตอบสนองความต้องการของตัวเองได้ ทำให้มีโอกาสช่วยพ่อแม่หารายได้ แล้วยังมีโอกาสได้เรียนอีกด้วย ที่สำคัญการเรียนการสอนของโรงเรียนปลายข้าวไม่ได้เลือกสนใจแต่เด็กเก่ง สะท้อนให้เห็นว่า จะมีอีกกี่สังคมที่เปิดโอกาสให้เด็กนอกระบบได้เรียน และพร้อมที่จะเข้าใจภาระที่เราต้องช่วยพ่อแม่รับผิดชอบ ซึ่งตอนนี้สังคมจากที่เคยมองพวกเราเป็นเด็กเกเรไม่เรียนหนังสือ ตีความว่าเราเป็นเด็กไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อโรงเรียนปลายข้าวมอบโอกาสให้ได้เรียน สังคมก็ยอมรับเรามากขึ้น เดิมที่เคยเที่ยวเตร่ก็ช่วยพ่อแม่หารายได้ และไม่สร้างปัญหาเอารัดเอาเปรียบคนอื่นๆในสังคม
น้องปราบ หรือด.ช.เจษฎา บัวจันทร์ นักเรียนชั้น ม.3 อายุ 15 ปี เด็กที่เคยอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ สู่รางวัลที่ 1 ในการเล่านิทานธรรมะพระไตรปิฎก 3 ปีซ้อน เล่าว่าเมื่อก่อนครูเคยไล่ออกไปอยู่นอกห้อง ไม่ให้เรียนพร้อมเพื่อนเพราะเป็นคนที่อ่านหนังสือไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ เลยออกมาวิ่งเล่นในลานวัด จนกระทั่งครูเข็มเห็นก็เรียกให้มาหาและถามว่าทำไมไม่เข้าเรียนพร้อมเพื่อน จนได้รู้ว่าในโรงเรียนไม่มีใครรับให้เป็นนักเรียนเพราะอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ครูเข็มเลยต้องพานั่งรถไปตามถนนเพื่ออ่านหนังสือตามป้าย แล้วพามาอ่านพระไตรปิฎก แต่ก่อนที่จะเรียนอะไรครูเข็มจะถามก่อนว่าเราชอบหรือไม่ ตอนนี้ดีใจมาก เพราะกว่าจะได้เรียนมันยาก และก็หนักใจที่เวลาเห็นเพื่อนๆเขียนได้หลายอย่างและก็อ่านออกทุกคำ จนเวลาทำงานส่งครูต้องจ้างให้เพื่อนมาเขียนให้ แต่ปัจจุบันสามารถสอนป้าอายุ 40 ปีได้ และได้รับรางวัลที่ 1 ในการเล่านิทานธรรมะ ที่บ้านเองก็ดีใจ และอยากเรียนต่อที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ พัทลุง เพราะอยากเป็นช่างจัดดอกไม้ ซึ่งการจัดดอกไม้ทำให้มีสมาธิ จิตใจบริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่สำคัญทำให้มีรายได้ในการไปจัดดอกไม้ตามงานศพ งานแต่ง ทำให้ได้เงินครั้งละ 6,000 บาท
น้องเติ้ล หรือด.ช.คำสิงห์ เชียตุด นักเรียนชั้น ม.3 อายุ 15 ปี จากเด็กที่ก้าวร้าว เก็บตัว ทำร้ายผู้คนแถมยังติดเกม สู่การใช้ชีวิตในสังคมปกติ เล่าว่าช่วงที่ครูเข็มไปตามให้มาเรียนจะโวยวาย ด่าทุกคนที่ขวางการมาเล่นเกม ด่าแม้กระทั่งครูเข็มที่ไปยืนรอ เพราะไม่อยากไปเรียน กลัวการไปสอบเพราะอ่านไม่ออก กลัวสอบไม่ได้ จึงไปนั่งเล่มเกม แต่การที่กลับมาเรียนเพราะสงสารครูเข็มที่ไปยืนรอทุกวันเพื่อตามให้มาเรียน และที่สำคัญอยากอ่านออก เขียนได้เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ เพราะอยากเป็นช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ เมื่อก่อนตนกับปราบเคยไล่ตีถันด้วยจอบ เพราะเป็นเด็กที่ก้าวร้าว สังคมไม่ยอมรับ จึงทำให้ไม่อยากพบหน้าใคร จึงชอบเก็บตัวและไปนั่งเล่นเกมที่ที่ร้านเกมนานถึง 4 ชั่วโมง บางวันเล่นจนดึก แต่ปัจจุบันกล้าที่จะสู้หน้าคน และก็อ่านออก เขียนได้
///////////////////////////////////

เปิดใจ น.ร.ปลายข้าว บอกเล่าถึงชีวิตพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

เปิดใจ น.ร.ปลายข้าว บอกเล่าถึงชีวิตพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
------------------------------
โปรย : พลิกฟื้นชีวิตคนขาดโอกาสทางการศึกษา ถูกผลักออกจากสังคม ด้วยการศึกษานอกระบบ ตามแบบฉบับโรงเรียนปลายข้าวเมืองพัทลุง เน้นสอนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และพระไตรปิฎก
-------------------------
ตามที่สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้พาคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่ไปดูการเรียนการสอน “โรงเรียนปลายข้าว” ต้นแบบการเรียนรู้นอกตำรา ของเทศบาลเมือง จังหวัดพัทลุง แถมยังนำพระไตรปิฎกมาเป็นสื่อ และหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาสอนให้ได้รู้จักการเลี้ยงชีวิตด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งของในตลาด และยังสามารถนำไปขายเพื่อเลี้ยงชีพได้อีกด้วย
นายสุวัฒน์ บุญปสอง ผอ.โรงเรียนนิโครธาราม กล่าวว่าที่โรงเรียนวัดนิโครธารามมีนักเรียนปลายข้าวทั้งหมด 47 คน และได้เปิดหลักสูตรการเรียนการสอน โดยนำพระไตรปิฎกมาเป็นสื่อ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ ความสามารถ และเน้นการเรียนรู้แบบหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีการเลี้ยงสัตว์ ทั้งเลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ปลูกพืชผักสวนครัว พืชสวน ทำนาข้าว และทำโรงเพาะเห็ด เพาะถั่วงอก เพื่อเปิดโอกาสให้ได้มีการศึกษานอกระบบสำหรับผู้ไม่สามารถมาเรียนได้ตามระบบการศึกษา ซึ่งเป็นต้นแบบของการสอนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้กับนักเรียนปลายข้าวที่ไม่มีโอกาสศึกษาตามระบบ
มาฟังยายฉิ้ม จอมแพ่ง อายุ 83 ปี นักเรียนโรงเรียนปลายข้าวสังกัดโรงเรียนวัดนิโครธารามที่มีอายุมากที่สุด เล่าว่าชีวิตยายตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ ไปไหนก็อายคน จะทำอะไรแต่ละอย่างก็ต้องให้เด็กมาอ่านให้ฟัง เพราะที่บ้านแม่ของยายมีลูกหลายคนเลยไม่มีเงินพอที่จะส่งเสียให้เรียน แต่ตอนนี้ยายรู้สึกดีใจมากที่ได้มาเรียนที่โรงเรียนปลายข้าว ทำให้ยายสามารถอ่านออก เขียนได้เหมือนกับคนอื่น เสียอย่างเดียวตอนนี้ยายตาไม่ค่อยดี และเป็นเรื่องที่ดีอีกอย่างหนึ่งของโรงเรียนปลายข้าวคือจะเน้นการสอนแบบปฏิบัติ มีการสอนเลี้ยงปลา ปลูกผัก ที่เขาเรียกว่าสอนแบบเข้าถึงแก่นชีวิต ยายอยากบอกว่าขอขอบคุณนายกโกสินทร์ที่ทำให้ยายมีโอกาสได้เรียน ทำให้อ่านออก เขียนได้ เหมือนคนอื่น
ส่วนป้ายุภา จันทร์สุข วัย 50 ปี เล่าถึงชีวิตในการที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ทั้งน้ำตาไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้างว่า ตอนเด็กทางบ้านลำบากมาก พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ป้ายังเล็ก ทำให้ป้าไม่ได้เรียนหนังสือเพราะต้องช่วยแม่ทำงานหาเลี้ยงชีวิต และครอบครัว เมื่อก่อนจะเดินไปไหนก็มีคนดูถูกเหยียดหยามเพราะเขาเห็นว่าเราจนไม่รู้หนังสือ แต่ตอนนี้รู้สึกดีใจมากที่ทางเทศบาลมีการเปิดโรงเรียนปลายข้าว ทำให้ป้าสามารถอ่านออกเขียนได้ และยังมีการสอนแบบหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่มีการเลี้ยงปลา ปลูกผัก และยังได้เข้ามาช่วยเหลือเวลามีงานโรงเรียนและงานในวัด ทำให้ได้เข้าสังคมเหมือนกับคนอื่นๆ เหมือนพลิกชีวิตป้าจากหน้ามือเป็นหลังมือ ก็ต้องขอบคุณทางท่านนายกฯโกสินทร์ ที่เปิดโรงเรียนปลายข้าวขึ้นมาให้ป้าได้เรียน ได้ทำกิจกรรมเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ป้าใฝ่ฝันอยากจะทำมาตลอดคือได้มีโอกาสรู้จักการทำมาหากินตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ด้าน ด.ช.ธนวัตร บุญมาตย์ นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนวัดนิโครธาราม ซึ่งเป็นเด็กที่เรียนในระบบได้เล่าถึงความรู้สึกที่ทางโรงเรียนมีการเปิดหลักสูตรการเรียนฉบับโรงเรียนปลายข้าว ว่ารู้สึกดีใจที่โรงเรียนวัดนิโครธาราม มีการเปิดการเรียนการสอนฉบับโรงเรียนปลายข้าวเพราะทำให้ตัวเองมีโอกาสได้เรียนรู้วิถีชีวิตผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเหมือนคนทั่วไป และตัวเองยังสามารถเข้าเรียนพร้อมกับนักเรียนโรงเรียนปลายข้าวด้วย ทำให้มีความรู้จักและคุ้นเคยมากกว่าที่ผ่านมา และยังได้รู้จักวิธีการเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชผักสวนครัวปลอดสารพิษ มีเพื่อนเพิ่มขึ้น และยังได้เรียนรู้สิ่งที่ไม่มีในห้องเรียน ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนมากเพราะที่บ้านเมื่อได้ยินว่าเพื่อนที่ไปเล่นด้วยเป็นนักเรียนปลายข้าวจะไม่ให้ไปเล่นกับคนเหล่านั้นเลย แต่ตอนนี้ความคิดเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปเพราะสิ่งที่เห็นไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่คิด
ขณะที่นายโกสินทร์ ไพศาลศิลป์ นายกเทศมนตรีเมืองพัทลุง ผู้พลิกฟื้นชีวิตคนจากหน้ามือเป็นหลังมือ บอกว่าเข้าใจว่าสังคมมนุษย์ต้องช่วยกันเพื่อให้อยู่รอดในสังคม เพราะคนสูงอายุบางคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เนื่องจากแต่ก่อนคนที่จะรู้หนังสือต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นทำให้ผู้หญิงในวัยสูงอายุไม่รู้หนังสือ เพราะไม่มีโอกาสได้เรียน แต่ปัจจุบันใช้การเรียนแบบไม่มีระบบ แต่เอาผลสัมฤทธิ์มาสอนเพื่อไม่ให้เกิดความกดดันของผู้เรียนและผู้สอน เพราะการสอนที่โรงเรียนปลายข้าวเน้นการสอนแบบปฏิบัติ จัดตารางเรียนตามใจผู้เรียน โดยไม่มีการเช็คชั่วโมงเรียนเหมือนการเรียนในระบบ ซึ่งการเปิดโรงเรียนปลายข้าวขึ้นเราต้องเข้าถึงแก่นชีวิตของคนแต่ละวัยว่าต้องการการเรียนแบบไหน โดยใช้หลักสำรวจในการเข้าไปพูดคุยและนั่งกินข้าวด้วยกัน บางคนชอบกินเหล้าเราก็ต้องไปนั่งในวงเหล้าเพื่อถามถึงความต้องการของคนเหล่านั้น ซึ่งโรงเรียนปลายข้าวก็ได้เปิดการเรียนการสอนมานานกว่า 4 ปี แล้ว โดยจะมีการจัดงานครอบรอบวันถ่ายโอนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของครู นักเรียนและประชาชนเพิ่มขึ้น
ส่วนในงานครบรอบ 4 ปี วันถ่ายโอนโรงเรียนปลายข้าว นักเรียนปลายข้าวได้นำผักปลอดสารพิษ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และการทำขนมสูตรโบราณ ทั้งขนมพิมพ์ ขนมโค ขนมครก ขนมจาก และการะแม มาจัดบูธภายในงานด้วย ซึ่งส่วนผสมของขนมแต่ละอย่างล้วนทำมาจากธรรมชาติทั้งนั้น อย่างขนมโค ที่มีลักษณะเป็นก้อนเล็กๆ นำมาคลุกเคล้ากับงาและมะพร้าวอ่อน มีสีสวยแปลกตา อย่างสีเหลืองก็ทำมาจากฟักทอง สีขาวทำมาจากเผือก สีม่วงทำมาจากดอกอัญชัน และสีเขียวทำมาจากใบเตย ส่วนขนมครกที่โรยหน้าด้วยไส้เค็มนี้ก็ทำมาจากหัวไชเท้าหากินที่ไหนไม่ได้ ต้องมากินที่เมืองพัทลุงเท่านั้นเพราะเป็นสูตรต้นตำรับโบราณที่ไม่ใช่สูตรชาววัง
///////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

จับตาหวัด 2009 ช่วงปิดเทอม หวั่นกลับมาอีกระลอก

จับตาหวัด 2009 ช่วงปิดเทอม หวั่นกลับมาอีกระลอก
------------------------
โปรย : เตรียมเฝ้าระวังไข้หวัด 2009 หวั่นระบาดในเมือง ชุมชนแออัด โรงเรียนสอนพิเศษ ศูนย์เด็กเล็ก เตรียมมาตรการรับช่วงปิดเทอม หลังระบาดหนักขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา
------------------------------
อากาศประเทศไทยช่วงนี้แปรปรวนซะเหลือเกิน เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวร้อน ทำให้อุณหภูมิในร่างกายปรับสภาพแทบไม่ทัน แถมช่วงฝนตกหนักยังมีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายต้องกังวลกลัวกระแสไข้หวัด 2009 กลับมาอีกระลอกที่สอง และเชื้อไข้หวัด H1N1 ที่เคยแพร่ระบาดในโรงเรียนกวดวิชา มาคราวนี้โรงเรียนกวดวิชาเลยเป็นเป้าหลักที่น่าเฝ้าระวังอีกจุดหนึ่ง และสาเหตุที่มีการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 กลับมา อาจส่งผลแพร่เชื้อไปยังศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทว่าขณะนี้โรงเรียนกำลังจะปิดเทอมทำให้กลุ่มเสี่ยงเปลี่ยนเป็นชุมชน โรงเรียนสอนพิเศษ และศูนย์เด็กเล็ก เพราะฉะนั้นชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะในชุมชนแออัดต้องเตรียมพร้อมมาตรการการดูแล การคัดกรอง การแยกเด็กป่วยในชุมชน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อที่จะตามมา
แผนงานความปลอดภัยในเด็ก ภายใต้การสนับสนุนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เปิดแถลงข่าวเรื่อง “คลื่นลูกที่สองของการระบาดไข้หวัดใหญ่ชุมชนแออัดในเมือง โรงเรียนสอนพิเศษ ศูนย์เด็กเล็ก ต้องเตรียมรับช่วงปิดเทอม” ขึ้นเพื่อต้องการให้ข้อมูล เพื่อเฝ้าระวังการกระจายตัวของไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่กลับมาระบาดหนักขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา รศ.นพ.กำธร มาลาธรรม หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ระบุว่า จากการตรวจผู้ป่วยจากการเก็บข้อมูลของน้ำมูกมายังห้องแลบของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง แม้จะน้อยลงแต่ก็ถือว่ายังมีมากกว่าเมื่อเริ่มต้นช่วงเดือนมกราคม – สิงหาคม รวมทั้งสิ้น 4,354 ราย พบติดเชื้อไข้หวัดใหญ่รวม 1,812 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 41.6 โดย 1,418 รายเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 (ร้อยละ 78) และสถานการณ์ปัจจุบันใกล้จะถึงช่วงโรงเรียนปิดภาคเรียน อีกทั้งเด็กจะใช้เวลาอยู่ในชุมชนโดยเฉพาะชุมชนแออัดต้องเตรียมพร้อมมาตรการดูแลป้องกันเพื่อไม่ให้เชื้อแพร่ระบาด โดยนำกลุ่มเสี่ยงออกมารับวัคซีน มีผู้คอยตรวจสอบและป้องกันการติดหวัดไม่ให้แพร่เชื้อ และเด็กอายุน้อยกว่า 4 ปี ที่อยู่ในชุมชนแออัด ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่าย เพราะจากการศึกษาอัตราการป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 ในหลายประเทศพบว่า ปัจจัยความยากจนกับการเจ็บป่วยของไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้น มีความสอดคล้องกัน โดยการเปรียบเทียบอัตราผู้ป่วยต่อแสนประชากรในชุมชนแออัดพบชัดเจนว่าเด็กในกลุ่มคนจนในชุมชนแออัดในเมืองใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่าชุมชนทั่วไปถึง 4 เท่า
ด้าน รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้จัดการแผนงานความปลอดภัยในเด็ก สสส. กล่าวว่า เนื่องจาก “กลุ่มเด็กเยาวชนในชุมชนแออัด” มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ระลอกสองในช่วงปิดเทอม ขณะเดียวกันโรงเรียนสอนพิเศษก็เป็นกลุ่มเสี่ยงหลักในการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เนื่องจากมีเด็กเปลี่ยนสถานที่เรียนจากโรงเรียนเป็นสถาบันกวดวิชา ดังนั้นจึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขเพิ่มกลุ่มเด็กเยาวชนในชุมชนแออัดไว้ในกลุ่มเสี่ยงการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เพื่อแก้ปัญหาวัคซีนที่ไม่เพียงพอจาก ทั้งหมด 2 ล้านโดส ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียง 7 แสนโดส ทำให้ราคาวัคซีนเพิ่มขึ้นจากเข็มละ 400 บาท เป็น 600-700 บาท และพบสูงสุด 1,000 บาท นอกเหนือจากเด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงแล้ว สถานที่ที่มีประชาชนมารวมตัวกันมากๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ สนามกีฬาฯลฯ ที่มีคนมารวมกันจำนวนมาก ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้เช่นกัน
ฉะนั้นหากใครไม่อยากติดเชื้อและต้องเสียเงินไปกับวัคซีนถึงเข็มละ 1,000 บาท ก็ต้องดูแลและป้องกันตัวเองเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่มีคนอยู่กันมากๆ ด้วย
//////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

เอส-อี-เอ็กส์ ขอพื้นที่คืนให้เพศวิถี หวังเติมเต็มช่องโหว่คนเข้าใจเรื่องเพศ

เอส-อี-เอ็กส์ ขอพื้นที่คืนให้เพศวิถี หวังเติมเต็มช่องโหว่คนเข้าใจเรื่องเพศ
---------------------------
โปรย : เซ็กส์ เป็นเรื่องที่ถูกสังคมแอบซุกซ่อนไว้หลังม่าน แต่ปัญหาที่ปรากฏกลับโผล่พ้นเพียงปลายเล็บที่เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำเห็นเพียงยอดแหลม
------------------------------
เรื่องเพศ ดูเหมือนเป็นเรื่องที่เราไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามให้มากความ เพราะคำตอบสำเร็จรูปถูกหยิบยื่นให้แก่เราทุกคนกันตั้งแต่เกิดเป็นพลเมืองของสังคมเรียบร้อยแล้ว แต่มันเป็นคำตอบที่แน่ชัดแล้วหรือสำหรับ “เราทุกคน” หรือเป็นเพียงการเล่นกลกับความคลุมเครือซับซ้อน ในเรื่องความเป็นหญิง - ชาย บทบาทและความคาดหวังในเพศสภาพ และเพศวิถีที่เราต่างแบกรับ หรือแม้กระทั่งเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ที่เราต่างเผลอไผลคิดไปเองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) จึงได้เปิดตัวหนังสือ “เอส-อี-เอ็กซ์” อย่างเป็นทางการ ณ ร้านกาแฟวาวี ซ.อารีย์ ในงานนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังอย่างคับคั่งเพราะมีวงเสวนาอย่างถึงพริกถึงขิง มีเหล่าวิทยากรไม่ว่าจะเป็น รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของหนังสือ รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วย โตมร ศุขปรีชา บรรณาธิการบริหารนิตยสาร GM ดำเนินรายการโดย ณัฐยา บุญภักดี ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส. ต่างหยิบยกเอาความจริงเกี่ยวกับเรื่องเพศในสังคมไทยขึ้นมาพูดคุย ล้วงลึกถึงกึ๋นในแบบที่ไม่ต้องเกรงว่าจะถูกเซ็นเซอร์
ชลิดาภรณ์ บอกถึงสาเหตุที่ใช้ชื่อหนังสือ เอส-อี-เอ็กซ์ ที่ไม่ใช่ S-E-X การที่ต้องเขียนเป็นภาษาไทย เพราะต้องการให้คนตระหนักว่าไม่ใช่คำที่ตัวเองเข้าใจก็ต้องหยุดคิดว่าคืออะไร เหมือนกับที่เซ็กส์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทางสังคมของเราที่คิดว่าชัดเจนและคุ้นเคยที่เราคิดว่าเรารู้อยู่แล้วแต่แท้จริงไม่รู้อะไรมากนัก เพราะเรื่องเพศอย่างที่เราเข้าใจเป็นของความเชื่อที่นำเข้า และเป็นเรื่องที่คนไม่กล้าพูด การเขียนภาษาไทยเพื่อต้องการเตือนให้คนไทยได้รู้ว่าเป็นสิ่งนำเข้าทำให้ต้องมีการเข้าใจว่าเป็นสิ่งต้องห้ามในการพูดในที่สาธารณะ โดยที่มาที่ไปเป็นหนังสือที่รวมบทความเส้นทางของการรวมเล่มผ่านอุปสรรคมากมายและเป็นเรื่องที่ผู้เขียนภูมิใจที่สุด ต้องการเขียนในประเด็นร้อน และอยากเชิญชวนให้สังคมเข้าใจเรื่องนี้ และกว่าจะมาเป็นหนังสือเล่มนี้ได้ต้องผ่านอุปสรรคขวากหนามมากมาย เพราะด้วยความที่เป็นผู้หญิงและสวมตำแหน่งครูบาอาจารย์นั้น ทำให้เจอแรงเสียดทานจากสังคมด้วยการค่อนขอดและสั่งสอนตลอดเวลาว่า สิ่งที่เขียนไปรู้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะนักวิชาการรุ่นเก่าที่มักโดดออกมาโต้แย้งความคิดเรื่องเพศวิถีที่เรามองเห็นต่างเสมอ
“พอตัวเองทำดีก็เกิดการคาดหวังมาก ว่าจะได้รับคำชื่นชม แต่เมื่อมีผลกระทบหรือถูกด่ากลับมา จึงเกิดการสั่นคลอน ผิดหวัง เซ็ง มองเห็นแรงกระทบมาก ก็คิดใหม่มองใหม่ว่า ถ้าประเด็นความคิดเห็นของเราไม่กระทบความรู้สึกของสังคม คงไม่มีคนลุกขึ้นมาแย้ง ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่ได้เปิดประเด็นให้สังคมเอง คำด่าทั้งหลายคือศัตรูทางความคิด วิธีแก้คือต้องคิดในทางกลับกันเป็นครูสอนเพราะจะทำให้เราเติบโตทางปัญญาได้มาก ทุกอย่างในชีวิตเราต้องแก้ด้วยปัญหาดังเช่นที่ว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ สิ่งที่ตัวเองเลือกมีปัญหาอยู่ตรงไหน” ชลิดาภรณ์ กล่าว
ส่วน กฤตยา บอกว่าในสังคมไทยเราได้ทราบกันดีแล้วว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องต้องห้าม ถ้านำมาพูดเปิดเผยในพื้นที่สาธารณะ โดยทั่วไปคนที่จะพูดถึงเรื่องเพศนั้นต้องเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ซึ่งมักหมายถึง “หมอ” หากชาวบ้านทั่วไปพูดเรื่องเพศ ก็จะสื่อออกมาในเชิงสองแง่สองง่ามมากกว่า เช่น เรื่องเล่าเดอร์ตี้โจ๊ก หรือเนื้อหาในบทเพลงพื้นเมืองอีแซว และลำตัด เป็นต้น ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องเพศเป็นเรื่องของคนทุกคน โดยหนังสือ เอส-อี-เอ็กซ์ นี้ถือได้ว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ในแง่ของหนังสือกึ่งวิชาการที่ถูกนำไปเผยแพร่ในคอลัมน์ตามสื่อสิ่งพิมพ์ และที่สำคัญผู้เขียนเป็นนักสังคมศาสตร์ที่เป็นผู้หญิงและให้มุมมองเรื่องเพศจากสถานการณ์จริง อีกทั้งการจัดงานเปิดตัวหนังสือครั้งนี้จัดที่ร้านกาแฟซึ่งเป็นจุดหมายอันดีที่ว่า สามารถมาพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องเพศในที่สาธารณะได้อย่างจริงจัง ขยายวงคุยเพื่อเรียนรู้เรื่องเพศมากขึ้น
กฤตยา ยังชี้ว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำไปประกอบการเรียนการสอน เพราะจะช่วยปลูกฝังจริยธรรมคุณธรรมเรื่องเพศให้กับเยาวชนก่อนที่เขาจะเติบใหญ่ ปัจจุบันที่เป็นปัญหากันมาก เนื่องจากความเป็นธรรมในเรื่องนี้ไม่มี ผู้ที่ถูกกระทำได้รับทุกข์อยู่ฝ่ายเดียว บางกรณีถึงกับฆ่าตัวตาย ขณะที่คนทำลอยชายมีอนาคตที่ดี ฉะนั้น เมื่อกฎบ้านเมืองทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องให้เด็กมีสำนึกด้วยตัวเอง "อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดถึงก็คือความซับซ้อนเรื่องเพศในสังคม จุดนี้ถ้าเรามัวแต่ปิดไว้ ก็ไม่สามารถจะหาทางออกหรือหาจุดที่สมดุลในการแก้ไขได้เลย จึงต้องสอนเรื่องเพศตั้งแต่เริ่มเรียนรู้ เพราะความซับซ้อนมาจากตรงนี้ เพราะจะทำให้เราเข้าใจเลือกทางเดินของชีวิตได้ เพราะสังคมไทยมีเส้นกำหนดให้รับรู้เรื่องเพสด้านเดียว สื่อที่เป็นทางการบอกเราแค่ด้านเดียวไม่บอกทางเดินให้เราได้ หากเราท้องเราจะแก้ปัญหาและเดินทางอย่างไร ความซับซ้อนมีเท่าเดิมแต่มิติมีหลายด้าน
ขณะที่ โตมร เล่าถึงการมีส่วนร่วมในการเขียนหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากรู้สึกว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่สังคมต้องเปิดใจยอมรับที่จะพูดในที่สาธารณะได้ ซึ่งโดยส่วนตัวอยากรู้เรื่องเพศอยู่แล้ว เริ่มแรกได้ศึกษาประเด็นผู้ชายขายตัว จึงทำให้เข้าใจเรื่องเพศมากขึ้น ซึ่งแต่ก่อนการสร้างองค์ความรู้เรื่องเพศจะเน้นผู้หญิงเป็นศูนย์กลางว่าประเด็นไหนบ้างที่กระทบความรู้สึกของผู้หญิงจะไม่มีการพูดถึง ทำให้รู้สึกว่าเรื่องเพศในสังคมไทยเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่มียอดโผล่ขึ้นมานิดหน่อย แต่มีฐานวงใหญ่ คนที่มองเห็นต้องค้นคว้าและเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง และต้องจับสัญญาณให้ได้ว่าความสลับซับซ้อนมีอยู่ตรงไหนบ้าง โดยต้องเขียนคำอธิบายออกมาให้ได้และให้คนเข้าใจง่ายที่สุด เรื่องเพศเป็นเรื่องที่สังคมชอบเอาไปแอบไว้ข้างหลัง นอกนั้นถูกหมักหมมเป็นก้อนใหญ่มหึมาอยู่ใต้ล่าง ยากแก่การแก้ไขให้ถึงต้นตอ ส่วนหนึ่งเพราะถูกขีดเส้นไว้อย่างชัดเจนว่าเซ็กส์เป็นเรื่องน่าอาย ไม่ควรนำมาพูดหรือเผยแพร่ต่อสาธารณะ อีกส่วนถูกครอบด้วยวัฒนธรรมไทยที่บังคับให้เชื่อตามที่คนรุ่นเก่าบอกเล่า ไม่สามารถโต้แย้งให้แตกต่างได้ และหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อธิบายปรากฏการณ์ทางเพศได้อย่างกว้างและลึก
ด้าน ณัฐยา บอกว่า หนังสือเอส-อี-เอ็กซ์ เป็นหนังสือที่ให้ความรู้แก่สังคมว่าการพูดถึงเรื่องเพศไม่ใช่เป็นเรื่องลามก ไม่ใช่เรื่องตลก หรือเรื่องอนาจาร แต่เป็นการพูดถึงในแง่ของกึ่งวิชาการ ซึ่งการใช้แนวคิดและทฤษฎีที่เหมาะสมมามองเรื่องเพศเพื่อให้สังคมเข้าใจในมุมกว้างและลึกมากขึ้น โดยยังไม่มีงานวิชาการใดทำในลักษณะนี้มาก่อน ทำให้ สสส.คิดว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยเติมเต็มช่องโหว่ในเรื่องเพศให้แก่สังคมไทย
แล้วคุณล่ะเข้าใจเรื่องเพศมากแค่ไหน ?????
//////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

สสส.-สคส.เปิดตัวหนังสือ เอส-อี-เอ็กซ์ (S-E-X)ขอพื้นที่คืนให้เพศวิถี

สสส.-สคส.เปิดตัวหนังสือ เอส-อี-เอ็กซ์ (S-E-X)
กะเทาะมิติถาม-ตอบ “เพศสภาพ-เพศวิถี”ในบริบทสังคม การเมือง และวัฒนธรรมไทย
ยกกรณีศึกษา “เพศสภาพใน “AF- นัยยะของถุงยาง-วัฒนธรรมเกลียดตุ๊ด”
-------------
เมื่อเวลา 14.00 ณ ร้านกาแฟวาวี ชั้น 2 ซ.อารีย์ 1 แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) ได้จัดงานเปิดตัวหนังสือ “เอส-อี-เอ็กซ์” ซึ่งว่าด้วยเรื่องเพศสภาพ เพศวิถี ในบริบทสังคมการเมืองและวัฒนธรรมไทย พร้อมเปิดมิติใหม่ให้สังคมเข้าใจเรื่องเพศสภาพ เพศวิถีมากขึ้น ด้านนักวิชาการระบุการพูดเรื่องเพศในที่สาธารณะไม่ใช่เรื่องหน้าอายอีกต่อไป เชื่อการจัดงานในที่สาธารณะถือเป็นจุดหมายอันดีสามารถมาพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องเพศได้อย่างจริงจัง ในการขยายวงคุยเพื่อเรียนรู้เรื่องเพศมากขึ้น
รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เขียนหนังสือ เอส-อี-เอ็กซ์ กล่าวว่า การเขียนหนังสือ เอส-อี-เอ็กซ์ นี้เป็นการเตือนให้สังคมเห็นความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเพศที่สังคมเคยเข้าใจว่าเรื่องเพศไม่สามารถนำมาพูดในที่สาธารณะได้ ซึ่งบทความต่างๆในหนังสือนี้จะนำเสนอให้คนเข้าใจเรื่องเพศวิถีที่มีอยู่หลายรูปแบบในภาษาที่เข้าใจง่าย หลากหลายมิติ ผ่านการนำเสนอทางหน้าหนังสือพิพม์ เพื่อให้เห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ที่สำคัญเวลาอ่านต้องคิดในหลายบริบทและมุมมองที่แตกต่างอย่างถี่ถ้วน อยากให้สังคมได้มีที่คิดใคร่ครวญในเรื่องเพศวิถีมากขึ้นว่า เป็นเรื่องสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องที่ควรเก็บซ่อนอีกต่อไป ซึ่งความจริงแล้วการเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยเรื่องเพศเป็นวิถีหนึ่งที่ไม่ยากเกินไปที่สามารถเชื่อมโยงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
“ประเด็นในหนังสือที่เขียนมาเป็นการกะเทาะให้คนเห็นว่าสิ่งที่เคยเข้าใจมาตลอดเป็นเรื่องที่ผิด ทั้งประเด็นการเซ็กส์ในกรอบ-นอกกรอบ ซึ่งเป็นการนิยามความเหมาะควรถูกผิดในเรื่องเพศ เช่นเรื่องคาวมตายของหญิงอ้วน ซึ่งเป็นความพยายามลดความอ้วน โดยการสละชีวิตเพื่อให้สวย เรื่องเพศสภาพใน AF หรือเรื่องนัยยะของถุงยาง ประเด็นเรื่องเพศวิธีกับความรุนแรง ซึ่งเป็นการกระทำความรุนแรงหลายประการ มองเห็นและเข้าใจได้ยาก ถูกบังตาโดยกรอบการแบ่งประเภทคน แต่แท้ที่จริงคนทุกประเภทมีความสามารถกระทำความรุนแรงเพื่อสื่อความรู้สึกบางอย่างของตัวเองได้ทั้งนั้น เช่นเรื่องทอมโหดหญิงบ้า และเรื่องข่มขืนผู้ชาย รวมทั้งประเด็นเพศสภาพ/เพศวิถีในการเมืองภาครัฐ ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกผลักเข้าสู่กระบวนนโยบายสาธารณะและการโต้เถียงต่อสู้ทางการเมือง เช่นเรื่องวัฒนธรรมเกลียดตุ๊ด เกย์ ทอม ดี้” รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ กล่าว
น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส. กล่าวว่า หนังสือ เอส-อี-เอ็กซ์ เป็นหนังสือที่รวมบทความว่าด้วยเรื่องเพศวิถีที่เขียนและใช้คำที่ง่ายขึ้นเพื่อสื่อให้คนอ่านเข้าใจเรื่องเพศได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นการให้ความรู้ต่อสังคมว่าการพูดถึงเรื่องเพศไม่ใช่เป็นเรื่องลามก ไม่ใช่เรื่องตลก หรือเรื่องอนาจาร แต่เป็นการพูดถึงในแง่ของกึ่งวิชาการ ซึ่งการใช้แนวคิดและทฤษฎีที่เหมาะสมมามองเรื่องเพศเพื่อให้สังคมเข้าใจในมุมกว้างและลึกมากขึ้น ซึ่งงานวิชาการทั่วไปยังไม่มีการทำในลักษณะนี้ อีกทั้ง สสส.มองว่าปัจจุบันเรื่องเพศยังมีช่องโหว่ที่คนไม่สามารถเข้าใจได้ลึก จึงได้สนับสนุนให้มีการจัดพิมพ์หนังสือ เอส อี เอ็กซ์ เพื่อให้สังคมเกิดการเรียนรู้และเข้าใจเรื่องเพศมากขึ้น
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในสังคมไทยเราได้ทราบกันดีแล้วว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องต้องห้าม ถ้านำมาพูดเปิดเผยในพื้นที่สาธารณะ โดยทั่วไปคนที่จะพูดถึงเรื่องเพศนั้นต้องเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ซึ่งมักหมายถึง “หมอ” หากชาวบ้านทั่วไปพูดเรื่องเพศ ก็จะสื่อออกมาในเชิงสองแง่สองง่ามมากกว่า เช่น เรื่องเล่าเดอร์ตี้โจ๊ก หรือเนื้อหาในบทเพลงพื้นเมืองอีแซว และลำตัด เป็นต้น ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องเพศเป็นเรื่องของคนทุกคน โดยหนังสือ เอส-อี-เอ็กซ์ นี้ถือได้ว่าเป็นการเปิดมิติใหม่ในแง่ของหนังสือกึ่งวิชาการที่ถูกนำไปเผยแพร่ในคอลัมน์ตามสื่อสิ่งพิมพ์ และที่สำคัญผู้เขียนเป็นนักสังคมศาสตร์ที่เป็นผู้หญิงและให้มุมมองเรื่องเพศจากสถานการณ์จริง อีกทั้งการจัดงานเปิดตัวหนังสือครั้งนี้จัดที่ร้านกาแฟซึ่งเป็นจุดหมายอันดีที่ว่า สามารถมาพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องเพศในที่สาธารณะได้อย่างจริงจัง ขยายวงคุยเพื่อเรียนรู้เรื่องเพศมากขึ้น
นายโตมร ศุขปรีชา บรรณาธิการบริหารนิตยสาร GM กล่าวว่า การที่มีส่วนร่วมในการเขียนหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากรู้สึกว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่สังคมต้องเปิดใจยอมรับที่จะพูดในที่สาธารณะได้ ซึ่งโดยส่วนตัวอยากรู้เรื่องเพศอยู่แล้ว ความสนใจจึงได้เข้าค้นหาความเป็นตัวตน จึงมาหยุดที่เรื่องเพศ เริ่มแรกได้ศึกษาประเด็นผู้ชายขายตัว จึงทำให้เข้าใจเรื่องเพศมากขึ้น ซึ่งแต่ก่อนการสร้างองค์ความรู้เรื่องเพศจะเน้นผู้หญิงเป็นศูนย์กลางว่าประเด็นไหนบ้างที่กระทบความรู้สึกของผู้หญิงจะไม่มีการพูดถึงทำให้รู้สึกว่าเรื่องเพศในสังคมไทยเหมือนภูเขาน้ำแข็งที่มียอดโผล่ขึ้นมานิดหน่อย แต่มีฐานที่ใหญ่ คนที่จะมองเห็นต้องค้นคว้าและเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง และต้องจับสัญญาณให้ได้ว่าความสลับซับซ้อนมีอยู่ตรงไหนบ้าง และต้องเขียนคำอธิบายออกมาให้ได้และให้คนเข้าใจง่ายที่สุด ดังเช่นเรื่องเพศในสังคมไทยยังเป็นเรื่องที่สังคมชอบเอาไปแอบไว้ข้างหลัง และหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อธิบายปรากฏการณ์ทางเพศได้กว้าง อีกทั้งสมัยก่อนเมื่อมีการพูดถึงเรื่องเพศเป็นเรื่องที่สนุก และคนที่เป็นเกย์ ตุ๊ด ต้องถูกกระทำโดยผู้ชายทำให้ไม่มีเพื่อนคนที่จะเป็นเพื่อนคนประเภทนี้ได้ต้องมีลักษณะเดียวกัน แต่ปัจจุบันเริ่มมีความหลากหลายทางความคิด คนไม่แบ่งแยกว่าจะคบกันได้ต้องเป็นเพศเดียวกันและต้องมีความสัมพันธ์กัน คนสามรถคุยเรื่องราวต่างๆได้ รู้สึกว่าการกระทำเหล่านี้เห็นได้มากในสังคมไทย ทำให้เปลี่ยนบรรยากาศในสังคมไทยได้
////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

“ฝันผุ”ภัยเงียบใกล้ตัว “เด็กเล็ก”แพทย์เผย เด็ก 3 ปีร่วม 60% เสี่ยง “ฝันผุ” กระทบ ‘เติบโตช้า แคระแกรน’

“ฝันผุ”ภัยเงียบใกล้ตัว “เด็กเล็ก”
แพทย์เผย เด็ก 3 ปีร่วม 60% เสี่ยง “ฝันผุ” กระทบ ‘เติบโตช้า แคระแกรน’
--------------------------
โปรย “เปิดสถานการณ์การใช้น้ำตาลทำลูกอมเพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2552 พบปัญหาฟันผุในเด็กไทยสูงถึง 60% ในเด็ก 3 ปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม เผยเด็กฟันผุเรื้อรังเสี่ยงภาวะเติบโตช้า แคระแกรน”
---------------------------
ปัญหาฟันผุในเด็กไทยยังเป็นปัญหารื้อรังทางด้านสาธารสุขที่แก้ไม่ตกกันซะที ขณะที่ช่องปากเป็นประตูด่านแรกด้านสุขภาพอนามัยที่ดี หากฟันผุยังเป็นต้นตอในการกระจายเชื้อโรคออกทั่วร่างกาย ก็จะบั่นทอนจิตใจและสุขภาพของเด็กเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ร่างกายของเด็กเจริญเติบโตไม่เต็มที่ แฝงไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บมากมาย เป็นที่ทราบกันดีว่าเด็กที่มีปัญหาฟันผุรุนแรงจนเกิดอาการปวด อันจะส่งผลกระทบต่อภาวะโภชนาการ พัฒนาการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านบุคลิกภาพในวัยปฐมวัยเป็นอย่างมาก
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน แผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน แผนงานโรงเรียนทันตแพทย์สร้างสุขระยะที่สอง ภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็กจากคณะทันตแพทยศาสตร์ 8 มหาวิทยาลัย กองทันตสาธารณสุข ชมรมทันตกรรมสำหรับเด็ก และเครือข่ายวิชาชีพทันตแพทย์ จึงได้ดำเนินการประชุมเครือข่ายแปรงฟันให้ลูกรักตั้งแต่ฟันซี่แรก เพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปากผสมผสานทุกมิติอย่างเป็นระบบในกลุ่มเด็กปฐมวัยเพื่อลดปัญหาฟันผุในเด็ก
ทพญ. จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ผู้จัดการแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน สสส. เล่าว่า โรคฟันผุเป็นปัญหาหลักที่พบได้มากในเด็ก สภาพปัญหามีความชุกและความรุนแรงค่อนข้างมาก เด็กไทยเริ่มมีโรคฟันผุตั้งแต่อายุเพียง 1 ปี และจะมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 12-18 เดือน ข้อมูลจากการสำรวจระดับประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยสำนักทันตสาธารณสุข พบว่าใน ปี 2552 ร้อยละ 60 ของเด็กไทยอายุ 3 ปี มีประสบการณ์การเป็นโรคฟันผุในฟันน้ำนม และร้อยละ 80 ของเด็กไทยอายุ 5 ปี ซึ่งใกล้เคียงกันในกรณีของฟันแท้ ซึ่งพบร้อยละ 57 เมื่อวัดที่อายุ 12 ปี ฉะนั้นเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานจึงต้องผูกปัญหาฟันผุในเด็กและห้ามกินหวานเข้าด้วยกัน เนื่องจากว่าเมื่อเด็กกินหวาน เกิดการบริโภคทั้งกลุ่มแป้งและน้ำตาลสูงขึ้น ก็จะส่งผลให้เกิดฟันผุ ซึ่งอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยง 3 อันดับแรกที่ทำให้เกิดฟันผุ คือ ลูกอม น้ำตาล และน้ำอัดลม หรือน้ำหวาน ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงสูงมาก โดยปัญหาฟันผุในเด็กไทยอยู่ที่อับดับสูงมากเมื่อเทียบกับทั่วโลก ซึ่งประโยชน์ของฟันคือการบดเคี้ยวอาหาร ให้ได้สารอาหารที่บดละเอียด ย่อยง่าย ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตไปตามวัย ให้การพูดออกเสียงได้ชัด สร้างความงามของใบหน้า
ด้าน ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม คณะทำงานสำนักทันตสาธารณสุขและรองผู้จัดการแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน พูดถึงปัจจัยหลักสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ คือ น้ำตาล ซึ่งมีรูปแบบของน้ำตาลที่หลากหลาย ซึ่งน้ำตาลที่เป็นที่นิยมมากในกลุ่มเด็ก คือ ลูกอม ทอฟฟี่ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานได้เฝ้าระวังการบริโภคของคนไทยตลอดมานับตั้งแต่ ปี 2545 พบว่า อัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเฉลี่ย 20 ช้อนชาต่อข้อมูลรูปแบบการกระจายตัวของน้ำตาลในประเทศไทยได้สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลต่อการเกิดโรคฟันผุที่จะทำให้เพิ่มมากขึ้น โดยทั่วไปการบริโภคน้ำตาลจะเป็นไปใน 2 รูปแบบด้วยกัน คือ ทางตรง และทางอ้อม ซึ่งสัดส่วนการบริโภคจะอยู่ที่ 6:4 ของน้ำตาลที่เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่ม นมเวชภัณฑ์ และลูกอม โดยข้อมูลที่รายงานโดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล พบว่า ในปี 2552 อัตราการใช้น้ำตาลเพื่อผลิตลูกอมและลูกกวาด สูงมากขึ้นกว่า ปี 2551 ถึง 3 เท่า จาก 2.2 ล้านกิโลกรัม เป็น 6.1 ล้านกิโลกรัม ภาพเหล่านี้สะท้อนอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมลูกอมและลูกกวาดอย่างมาก
ส่วน นพ.สุริเดว ทริปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดลและผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน บอกถึงผลกระทบเรื่องปัญหาฟันผุในเด็กที่ยังถือว่าอยู่ในอัตราสูงช่วงระหว่างเด็กที่เริ่มมีฟันจนถึงปฐมวัย ทำให้เด็กมีปัญหาทั้งทางร่างกาย จิตใจและอารมณ์ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเฉพาะช่องปากเท่านั้น ยังทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอีกมากเริ่มตั้งแต่บริเวณใกล้เคียง จะเกิดเป็นหนองที่เหงือกทำให้แก้มบวม ตาบวม ต่อมน้ำเหลือง บริเวณคอโต ต่อมทอมซินอักเสบ ผิวหนังอาจเป็นผื่นคันจากภูมิแพ้ หัวใจเรื่องสำคัญอาจทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบถึงขั้นหัวใจรั่วจากการติดเชื้อและยังลามไปอวัยวะอื่นอีก ผลจากอาการปวดฟันเคี้ยวอาหารไม่สะดวก ไม่ละเอียด ทำให้ขาดสารอาหาร เจ็บปวด นอนไม่หลับ สารพันโรคทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงความต้านทานต่อโรคอื่นๆ ลดน้อยลง ผลกระทบคือเด็กจะมีความสูงและน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน รวมทั้งศีรษะเล็กกว่าเด็กที่ไม่มีฟันผุปฐมวัย ซึ่งเด็กที่เคี้ยวอาหารไม่ได้ และพูดไม่ชัดทำให้ถูกล้อเลียนมีปัญหาทางด้านจิตใจ
ขณะที่ รศ.ทพญ.ชุติมา ไตรรัตน์วรกุล อาจารย์ประจำภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวแทนแผนงานโรงพยาบาลสร้างสุข เล่าถึงการสำรวจทันตสุขภาพครั้งล่าสุดในประเทศไทยปี พ.ศ. 2550 พบว่าเด็กอายุ 3 ปี มีโรคฟันผุร้อยละ 61 และมีจำนวนฟันที่ผุถอน อุด 3.2 ซี่ต่อคนเมื่อสำรวจเด็กอายุ 5 ปี พบว่ามีความชุกของโรคฟันผุเพิ่มเป็นร้อยละ 80 และมีอัตราผุ ถอน อุด 5.43 ซี่ต่อคน อัตราดังกล่าวในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจะลดลงน้อยมาก แม้ว่าจะมีการทำงานป้องกันมากมายดูเหมือนว่าเราเพียงแต่ควบคุมไม่ให้อัตราผุในเด็กสูงขึ้นเท่านั้น สาเหตุของโรคฟันผุปฐมวัยเกิดจากการเลี้ยงนมและอาหารเหลวไม่เหมาะสม ร่วมกับไม่มีการทำความสะอาดฟัน พฤติกรรมการเลี้ยงนมและอาหารเหลวที่ไม่เหมาะสมได้แก่ การหลับคาขวดหรือนมแม่ หรือดูดนมถี่ๆ ในช่วงกลางคืนหลังจากมีฟันน้ำนมขึ้นมาในช่องปากแล้ว
คุณหมอยังเล่าให้ฟังถึงผลกระทบในแง่ของการรักษาว่า เด็กในวัยนี้แม้ผู้ปกครองจะแปรงฟันให้ก็ยังไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ หากมีฟันผุ ก็จะยิ่งยากสำหรับทันตแพทย์ที่จะทำการรักษา จำเป็นที่จะต้องเป็นทันตแพทย์เฉพาะทางสำหรับเด็ก ซึ่งไม่มีอยู่ทั่วไปในโรงพยาบาล หรือคลินิกชนบท เมื่อเด็กมีอาการปวด บวม ผู้ปกครองจำนวนมากต้องตามหาทันตแพทย์ที่จะรักษาให้ได้ เพราะมีอยู่ในเมืองใหญ่เท่านั้น
“ฉะนั้นเมื่อมาพบทันตแพทย์ หลายกรณีต้องใช้วิธีดมยาสลบ หรือใช้ยาและก๊าซเพื่อคลายกังวล วิธีการเหล่านี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก เกิน 10,000 บาท ส่งผลให้รัฐและพ่อแม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และตัวเด็กก็ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวยาวนานกว่าปกติ วิธีที่ดีที่สุดคือ เริ่มแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์และเช็ดฟองออกให้ลูกตั้งแต่ฟันเริ่มขึ้น แม้ลูกอาจจะต่อต้านบ้าง แต่ถ้าพ่อแม่หมั่นทำซ้ำเป็นประจำ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดฝันผุในเด็ก ช่วยประหยัดเงินและเวลา รวมทั้งไม่ต้องประสบกับความเครียด กังวลอันเป็นผลจากอาการปวด บวม และการรักษาจากทันตแพทย์” รศ.ทพญ.ชุติมา กล่าวทิ้งท้าย
ลูกของคุณก็จะมียิ้มสยามที่ประทับใจต่อคนทั่วโลก!!!!
////////////////////////////////

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

วัยโจ๋ร่วมปฏิวัติ น้ำมันทอดซ้ำ ‘แปรผัน’ ทำไบโอดีเซล

วัยโจ๋ร่วมปฏิวัติ น้ำมันทอดซ้ำ ‘แปรผัน’ ทำไบโอดีเซล
/////////////////////////////////////////////
โปรย : มหัศจรรย์ไบโอดีเซล พลังงานทดแทนที่ควรคิด นำไปสู่ทางออกของน้ำมันทอดซ้ำ เพื่อคนไทยปลอดภัยและสามารถพึ่งตนเองได้
////////////////////////////////////////////////
เวลาพูดถึงเรื่องน้ำมันทอดซ้ำ หลายคนอาจมองแค่เรื่องความไม่สะอาดสะสมที่เกิดจากการใช้น้ำมันหลายรอบ จนอาจมองข้ามอันตรายเนื้อแท้สร้างให้เกิดสาร “โพล่าร์คอมเพาว์” ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง หรือสารกลุ่ม “โพลีไซคลิก อโรมาติก ไฮโดร์คาร์บอน” ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ดังนั้นประเทศไทยจึงมีกฏหมายที่ระบุว่า น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารต้องมีสารโพล่าร์คอมเพาว์ ไม่เกิน 25% ขณะที่สารกลุ่มโพลีไซคลิก อโรมาติก ไฮโดร์คาร์บอน ยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานความปลอดภัย
แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งดำเนินโครงการ “ปฏิวัติน้ำมันทอดซ้ำ” จึงได้ร่วมกันพัฒนาเครื่องมือในการตรวจสอบน้ำมันที่ทอดอาหาร ด้วยการวัดค่า “โพล่าร์คอมเพาว์” ในแบบฉบับที่เด็กและเยาวชนสามารถร่วมกันทำได้ ประหยัด และได้การวัดค่าตามมาตรฐาน ในงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ก้าวหน้านวัตกรรมก้าวไกลเครือข่ายยั่งยืน ในวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา
โดยกลุ่มนักเรียนอาสาสมัครหมู่บ้าน (อสม.) และโรงเรียนในเครือจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ทั้ง 12 แห่ง ซึ่งต้องใช้น้ำมันในการทำงานให้นักเรียน และครูอาจารย์ ทั้ง 3 มื้อ ได้ไอเดียในการ ‘ปฏิวัติน้ำมันทอดซ้ำ’ ให้กลายเป็น ‘น้ำมันไบโอดีเซล’ จึงผุดขึ้น
โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย บุรีรัมย์ จึงนำน้ำมันทอดที่เสื่อมสภาพแล้ว มาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล ใช้ในรถยนต์ รถตัดหญ้าของโรงเรียน ส่วนโรงเรียนที่ไม่มีการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล ก็จะจัดการส่งต่อน้ำมันทอดที่เสื่อมสภาพไปยังเครือข่ายการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล มิให้ตกไปอยู่ในมือของผู้ที่จะนำน้ำมันเสื่อมสภาพ มาแปรรูปกลับมาใช้บริโภคอีก
นาย สัตยา บานบัว นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ตัวแทนกลุ่มไบโอดีเซลโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทอุปกรณ์รักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทน อธิบายถึงวิธีการแปรสภาพน้ำมันให้เป็นไบโอดีเซลว่า ขั้นแรกต้องนำน้ำมันพืชที่ใช้แล้วมากรองด้วยผ้าขาวบาง ก่อนนำมาต้มให้ได้อุณภูมิ 120 องศา จากนั้นเทเมทานอล 2.5 ลิตรใส่แกลลอนเสร็จแล้วเทโปรแตสเซียมไฮดรอกไซด์ 100 กรัมใส่ลงไป ปิดฝาให้สนิทแล้วเทเขย่าเบาๆให้ละลาย จากนั้นก็เทสารละลายผสมลงในถังน้ำมัน แล้วกวน 30 นาที จากนั้นเทน้ำ 0.7 ลิตร ลงถังกวนเพื่อล้างไบโอดีเซล 30 วินาที แล้วปล่อยให้กลีเซอรีนตกตะกอน 8 ชั่วโมง ก่อนแยกน้ำมันออกจากกลีเซอรีน และล้างไบโอดีเซลด้วยน้ำ 0.75 ลิตร กวน 2-3 ครั้ง และนำไบโอดีเซลไปไล่ความชื้นที่ 120 องศาเซลเซียส จำนวน 2-3 ครั้ง จนได้ไบโอดีเซลที่บริสุทธิ์
“ผมทำโครงการมานานกว่า 4 ปีแล้ว ซึ่งใช้ประโยชน์ได้ดีทั้งในครัวเรือน และเติมน้ำมันรถ คิดว่า นักเรียนได้ความรู้ แถมมีรายได้ เพราะจะนำน้ำมันที่ผลิตได้ไปขายให้กับเกษตรกร ที่สำคัญผลงานชุดอุปกรณ์ผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชที่ใช้แล้วเป็นใบเบิกทางในการสอบเอ็นทรานซ์ด้วย” สัตยา กล่าว
ภก.วรวิทย์ กิตติสุนทร ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 (อุบลราชธานี) หัวหน้าโครงการปฏิวัติน้ำมันทอดซ้ำ สสส. ผู้เดินหน้าผลักดันให้มีการรณรงค์เลิกใช้นำมันทอดซ้ำเล่าว่า ธรรมชาติของน้ำมันปรุงอาหาร เมื่อค่าโพล่าร์คอมเพาว์ ใกล้ 25% หากเติมน้ำมันใหม่ จะเร่งการเสื่อมสภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากผู้ปรุงอาหาร ทราบว่า น้ำมันที่ใช้ทอดอาหาร มีค่าโพล่าร์คอมเพาว์ ใกล้ 25% ต้องต้องเปลี่ยนเป็นน้ำมันใหม่ทันทีเพื่อลดความเสี่ยงของผู้บริโภค ไม่ให้ต้องเจ็บป่วยโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้แล้วยังเป็นการช่วยลดภาวะท่อน้ำอุดตันได้ เนื่องจากหากเราเทน้ำมันลงในท่อระบายน้ำ เมื่อน้ำมันโดนน้ำจะเกิดไขก่อตัวเป็นก้อนอุดทางน้ำไหล
“มีการวิจัยยืนยันแล้วน้ำมันทอดซ้ำหลายๆครั้งสามารถก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ในเชื้อแบคทีเรีย ก่อให้เกิดเนื้องอกในตับ ปอด และก่อมะเร็งเม็ดเลือดขาวในหนูที่นำมาทดลอง ฉะนั้นเลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยงเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย” ภก.วรวิทย์ กล่าว
สุพจน์ อรุณโน ครูชำนาญการโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.บุรีรัมย์ ผู้คิดค้นเครื่องกรองน้ำมันใช้แล้วเพื่อนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซลซึ่งเป็นนวัตกรรมชิ้นหนึ่งที่ผลิตง่ายใช้สะดวกเพียงแค่ปั่นก็ได้ไบโอดีเซลมาใช้ พร้อมกับได้เล่าถึงแนวคิดว่า การผลิตเครื่องกรองน้ำมันที่ใช้แล้วนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถช่วยแก้ปัญหาเรื่องพลังงานทดแทนได้ และยังเป็นการแก้ปัญหาให้กับโรงเรียนที่มีความจำเป็นในการใช้มันมาก อีกทั้งให้ความสะดวก ลดปัญหาน้ำมันเหลือใช้ และสามารถลดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำมันได้มาก เนื่องจากไบโอดีเซลที่ผลิตได้จากน้ำมันทอดซ้ำนี้ขายในราคาลิตรละ 12 บาทเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันซึ่งตอนนี้ลิตรละประมาณ 30 บาทก็ประหยัดได้เท่าตัว
นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายชุมชนย่านตาขาว จังหวัดตรัง เป็นชุมชนตัวอย่างที่มีความตื่นตัว ร่วมกันผลักดันให้เกิดนโยบายสาธารณะระดับชุมชน โดยร่วมมือกับเทศบาลย่านตาขาว จัดให้มีระบบการตรวจสอบน้ำมันทอดเสื่อมสภาพในชุมชน และจัดระบบรับซื้อน้ำมันเสื่อมสภาพมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล ทั้งนี้โดยความร่วมมือของผู้ประกอบการอาหาร ภายใต้ความเข้มแข็งของชุมชน ผลการดำเนินงาน คือ ผู้บริโภคปลอดภัย ไม่ต้องบริโภคอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันเสื่อมสภาพ และประการสำคัญ คือ น้ำมันที่เสื่อมสภาพ ไม่ถูกนำไปกรอง ฟอกสี แต่ยังมีสารพิษตกค้าง ถูกนำกลับมาจำหน่ายให้คนมีรายได้น้อย หรือพ่อค้า แม่ค้า นำมาใช้ปรุงอาหารอีก หลายราย นำไปทาเส้นก๋วยเตี๋ยว เพื่อมิให้เส้นติดกัน หรือนำไปใช้ผสมในอาหารสัตว์ที่เราบริโภค
//////////////////////////////////

ภัยเงียบยาปฏิชีวนะเกิดภาวะ “ดื้อยา”พบไทยนำเข้าและผลิตสูงสุด

ภัยเงียบยาปฏิชีวนะเกิดภาวะ “ดื้อยา”พบไทยนำเข้าและผลิตสูงสุด
---------------------------------
โปรย : ภาวะดื้อยาปฏิชีวนะ ไม่ใช่แค่เรื่องของโรงพยาบาลที่ต้องแก้ปัญหา แต่ได้ก้าวล้ำเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม การนำศิลปะชี้ภัยจะดึงดูดความสนใจของประชาชนให้เล็งเห็นผลเสียที่เกิดขึ้น หลังพบคนไทยนำเข้าและผลิตสูงสุดเป็นอันดับ1
--------------------------------
“ยาปฏิชีวนะ”หรือ“ยาต้านจุลชีพ”เป็นยาที่สกัดได้จากจุลินทรีย์และราพันธุ์ต่างๆ คนทั่วไปนิยมเรียกกันติดปากว่า“ยาแก้อักเสบ”คือ ยาที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อจุลชีพชนิดอื่น ๆ เป็นกลุ่มยาที่มีอัตราการใช้มากที่สุด เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย แต่ละปีมีมูลค่าของการใช้เป็นจำนวนมหาศาล ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลและร้านขายยา ยาปฏิชีวนะมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มเพนิซิลลิน อีรีโทรมัยซิน เตตราซัยคลิน คลอแรมเฟนิคอล สเตรปโตมัยซิน นอกจากนี้ยาปฏิชีวนะยังรวมถึงยาที่สังเคราะห์ขึ้นตามกระบวนการทางเคมี เช่น ยาประเภทซัลโฟนาไมด์
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ร่วมกับ กระทรวงสาธารสุข (สธ.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เล็งเห็นผลเสียที่ตามมาจึงจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันเรื่องการรณรงค์การใช้ยาอย่างเหมาะสมเพื่อลดปัญหาพฤติกรรมการใช้ยาเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะเชื้อ “ดื้อยา” พร้อมปลุกกระแสสังคมให้ฉลาดใช้ยาหลังพบวันรุ่นหันพึ่งอาหารเสริม กาแฟ และยาลดความอ้วนเพียบ ขณะที่ กพย.จัดโครงการสานศิลป์ในป่าสวย เพื่อบุคลากรทางการแพทย์ ในการใช้ศิลปะแนะนำยา ดึงดูดความสนใจของประชาชน ให้เห็นผลเสียของการกินยาเกินขนาด โดยปัญหาการใช้ยาเกินขนาดของคนวัย 31-45 ปี จะพบอาการ“ดื้อยา” มากที่สุดถึงร้อยละ 24.6 สร้างความเสียหายร่วม 20,000 ล้าน จึงเป็นเรื่องที่ควรเฝ้าระวังเป็นอย่างยิ่ง
นพ.ทนงสรรค์ สุธาธรรม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ชนิดยาปฏิชีวนะ 5 ลำดับที่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์นำไปสู่การดื้อยาคือ1.เซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone) 2.อะม็อกซี่ซิลิน (amoxicillin) 3.ไอบูโปรเฟน (ibuprofen) 4 .ซัลฟาเมทธอกซาโซล และ5. ไตรเมทโธพริม (sulfamethoxazole+trimethorprim) สะท้อนให้เห็นว่า ยาที่เข้าข่ายทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์สูงสุด 25 อันดับแรกนั้นเป็นยาปฏิชีวนะถึง 15 รายการ และประเด็นที่น่าเฝ้าระวังคือยาเพนนิซิลิน และอีริโธมัยซิน ที่เคยใช้เป็นยารักษาโรคปอดบวมได้ผลนั้น เริ่มเกิดอาการดื้อยา โดยในปี 2541-2550 พบการดื้อยาเพนนิซิลินจาก 47% เป็น 61% และดื้อยาอิริโธมัยซินจาก 27% เป็น 54% และล่าสุด พบว่า การพัฒนายาใหม่เพื่อใช้แทนยาเพนนิซิลินและอีริโธมัยซิน ที่ไม่พบการดื้อยามาตั้งแต่ปี 2544 แต่ขณะนี้เริ่มมีการดื้อยามากขึ้น ขณะที่ความต้องการยาปฏิชีวนะชนิดใหม่เพื่อต่อสู้กับเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น แต่แนวโน้มการค้นคิดยาปฏิชีวนะชนิดใหม่กลับลดลง เนื่องจากเป็นกลุ่มยาที่อาจไม่คุ้มค่าในการลงทุนศึกษาวิจัย เพราะการเกิดเชื้อดื้อยาทำให้ประสิทธิภาพของยาในการรักษาโรคติดเชื้อลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่เหมือนตลาดของยากลุ่มที่รักษาโรคเรื้อรัง เช่น ความดัน และเบาหวาน ที่คงประสิทธิภาพการรักษาและอยู่ในตลาดได้เป็นเวลานาน พฤติกรรมการใช้ยาของคน จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการแก้ปัญหาการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม และมีความจำเป็นต้องผลักดันให้เกิดความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ
ด้าน ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. เล่าถึงสาเหตุสำคัญของเชื้อดื้อยาว่าเกิดจากการใช้ไม่ถูกต้อง และการใช้เกินความจำเป็น สะท้อนจากพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของประเทศไทย พบว่า ประชาชนมีการใช้ยาปฏิชีวนะในโรคที่ไม่จำเป็น เช่น โรคหวัด ประมาณ 40-60% ในภูมิภาค และ 70-80% ในกรุงเทพมหานคร ภาวะดื้อยา ทำให้ผู้บริโภคต้องใช้ยาที่แพงขึ้น และต้องใช้เวลาฟื้นตัวที่ยาวนานขึ้น เพราะภาวะดื้อยาทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาลดลง ไม่คุ้มการลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขของสหรัฐอเมริกาที่สูญเสียเงินปีละ 4-5 พันล้านดอลล่าร์ จากปัญหาการดื้อยา เช่นเดียวกับยุโรปที่สูญเสียปีละ 9 พันล้านยูโร ขณะที่ตัวเลขของ อย.ระบุว่า ประเทศไทยผลิตและนำเข้ากลุ่มยาฆ่าเชื้อ รวมถึงยาปฏิชีวนะ สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของการผลิตและนำเข้ายาทั้งหมด โดยในปี 2550 การผลิต และนำเข้ายากลุ่มปฏิชีวนะมีมูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาท หรือประมาณ 20% ของมูลค่ายาทั้งหมด
ส่วน ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาสำคัญเร่งด่วนสำหรับเยาวชนคือ การบริโภคผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนในเด็กและเยาวชน เช่น ยาลดน้ำหนัก กาแฟ อาหารเสริม ซึ่งมักโฆษณาเกินจริง จนทำให้เกิดการใช้ที่ไม่เหมาะสม และบางรายอาจทำให้เกิดภาพหลอน และนำไปสู่ภาวะการกดประสาท ซึ่งการสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการใช้ยาที่ถูกต้องนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงระดมความร่วมมือจากหลายคณะ ได้แก่ คณะเภสัชศาสตร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ และร่วมกับ อย. กระทรวงสาธารณสุข และ สสส. เพื่อให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปมีความรู้และเข้าใจถึงประเด็นการใช้ยาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มยาปฏิชีวนะเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องพฤติกรรมการใช้อย่างเป็นรูปธรรม
ขณะที่ ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาการดื้อยาปฏิชีวนะ เป็นเรื่องยากที่จะไปกระตุ้นความคิด ความเข้าใจ และความตระหนักของประชาชน รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ ให้เข้าใจถึงปัญหาเหล่านี้ การนำศิลปะเข้ามาสู่เรื่องการรณรงค์เพื่อให้คนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อกระตุ้น และแสดงความห่วงใยออกมาผ่านงานศิลปะ ซึ่งความจริงแล้วปัญหาการดื้อยาปฏิชีวนะไม่ใช่แค่เรื่องของโรงพยาบาล แต่ได้ก้าวล้ำไปสู่เรื่องปัญหาใหญ่ทางสังคม การให้บุคคลากรทางการแพทย์ได้เห็นธรรมชาติจะได้สร้างสรรค์งานศิลปะเรื่องไมโคร ของจุลินทรีย์ ที่เป็นปัญหาส่วนหนึ่งในการดื้อยา เพื่อสะท้อนชี้จุดและเพิ่มแรงบันดาลใจ ซึ่งเชื่อว่าการใช้ศิลปะในการรณรงค์จะได้ผล และตัวเราต้องเข้าใจศิลปะ ไม่ใช่ว่าภาพที่ออกมาคนอ่านแล้วจะเข้าใจเลย และทำให้มีความรู้เลย แต่ศิลปะสามารถเป็นแรงบันดาลใจ เพราะศิลปะมีความพิเศษเป็นสิ่งที่ดี การที่เลือกศิลปะมาเป็นสื่อเนื่องจากมีตัวอย่างบางประเทศได้ทำมาแล้ว เพราะสามารถดึงคนมาเป็นส่วนร่วมได้ สามารถกระตุ้นให้คนตระหนักคิด ฉุกคิดตามได้ ความตื่นตัวตรงนี้นับว่าดี ซึ่งอาจจะมีการขยายจัดต่อบางพื้นที่ได้ ซึ่งทุกคนก็ตื่นตัวเรื่องปัญหาการดื้อยาปฏิชีวนะอยู่บ้าง
/////////////////////////////////////